อัพเดท: 20 พฤศจิกายน 2024
ไม่ค่อยมีเวลาใช่ไหม? นี่เป็นแอนตี้ไวรัสฟรีสำหรับ Windows ที่ดีที่สุดในปี 2024:
- 🥇 Norton : การป้องกันไวรัสและมัลแวร์ขั้นสูง ซึ่งมาพร้อมกับการป้องกันเว็บแคม VPN เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน ระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครอง การเฝ้าระวัง dark web และอีกมากมาย มันไม่ได้เปิดให้ใช้งานฟรี 100% แต่ว่ามีการรับประกันคืนเงินภายใน 60 วัน ซึ่งก็จะช่วยให้คุณได้ทดลองว่าบริการนี้เหมาะสำหรับคุณหรือไม่ยาวถึง 2 เดือน
Windows นั้นมีแอนตี้ไวรัสฟรีให้เลือกใช้มากมาย ดังนั้นการที่จะเลือกใช้ Windows Defender จึงอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ เราได้ทำการทดสอบแอนตี้ไวรัสฟรีมามากมาย เพื่อค้นหาตัวที่ดีที่สุด เราอยากจะดูว่าโปรแกรมไหนที่สามารถป้องกันได้ทั้งมัลแวร์บน Windows และภัยอันตรายรูปแบบอื่น ๆ (ซึ่งรวมถึงการฟิชชิงและการโจมตีแบบวิศวกรรมสังคม) นอกจากเรื่องของการตรวจจับมัลแวร์แล้ว เราก็ได้ดูเรื่องเกี่ยวกับชื่อเสียงของแอนตี้ไวรัสในด้านการปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณ และความสามารถในการทำงานอย่างไร้รอยต่อร่วมกับทุกด้านของ Windows ซึ่งรวมถึง Windows Defender ด้วย
แต่เราอยากให้ทราบไว้ว่าแอนตี้ไวรัสฟรีทุกตัวนั้นต่างก็มีข้อจำกัด เพราะแบบนั้นเราจึงอยากแนะนำให้คุณลงทุนสักนิดเพื่อเลือกใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสพรีเมียมซึ่งจะมีการป้องกันมัลแวร์ทุกรูปแบบ — ที่มีฟีเจอร์เสริมอย่างเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN), การเฝ้าระวัง dark web และเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน (Norton 360 นั้นจะมีฟีเจอร์ทั้งหมดนี้ และก็ได้รับการจัดอันดับให้เป็นโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ดีที่สุดในปี 2024)
ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม การใช้แอนตี้ไวรัสฟรีนั้นก็ยังคงดีกว่าการไม่ใช่แอนตี้ไวรัสเลย! เราเจอโปรแกรมแอนตี้ไวรัสดี ๆ อยู่หลายตัวซึ่งสามารถทำงานร่วมกับการปกป้องที่มีติดมาในตัวของ Windows ได้ และก็มีฟีเจอร์ที่ Windows Defender นั้นไม่มีให้
ทดลองใช้ NORTON (60 วันไม่มีความเสี่ยง)
สรุปโดยย่อเกี่ยวกับแอนตี้ไวรัสฟรีที่ดีที่สุดสำหรับ Windows ในปี 2024:
🥇1. Norton — แอนตี้ไวรัสที่ดีที่สุดโดยรวมสำหรับ Windows ในปี 2024
Norton เป็นแอนตี้ไวรัสสำหรับ Windows ที่เราชื่นชอบ — และถึงแม้ว่ามันจะไม่มีแพลนระดับฟรี แต่มันก็มีเปิดให้ทดลองใช้ฟรีได้อยู่เป็นประจำ แถมยังมีการรับประกันคืนเงินภายใน 60 วัน อย่างไม่มีความเสี่ยงอีกด้วย นี่จะทำให้คุณเปรียบเสมือนว่าได้ทดลองใช้ยาวนานถึง 2 เดือนเพื่อดูว่ามันเหมาะกับคุณหรือไม่ มันมีเอนจินป้องกันมัลแวร์ขั้นสูง ฟีเจอร์เสริมมากมาย และแพลนในราคาไม่แพงซึ่งครอบคลุมถึง 10 อุปกรณ์สำหรับทุกระบบปฏิบัติการ
Norton นั้นมีการตรวจจับมัลแวร์ที่สมบูรณ์แบบไม่ว่าจะเป็นภัยอันตรายรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ ในการทดสอบทั้งหมดของเรานั้น มันสามารถตรวจจับตัวอย่างมัลแวร์ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไวรัสแบบง่าย ๆ หรือจะเป็นภัยอันตรายที่มีความซับซ้อนอย่างรูทคิทก็ตาม นอกจากนี้มันยังมีการป้องกันการฟิชชิงที่ดีเยี่ยม มีสมาร์ทไฟร์วอลล์ซึ่งสามารถปรับแต่งได้มากมาย และก็มีการป้องกันการทำธุรกรรมและช้อปปิ้งออนไลน์อีกด้วย
Norton นั้นมาพร้อมกับฟีเจอร์เสริมที่มีคุณภาพมากมาย ประกอบไปด้วย:
- VPN (ข้อมูลไม่จำกัด) — รักษาระดับความเร็วได้ดี ใช้งานกับเว็บไซต์สตรีมมิ่งอย่าง Netflix และก็สามารถรองรับ Tor แถมยังมี split-tunneling อีกด้วย
- เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน — สร้าง บันทึก และกรอกข้อมูลล็อกอินอัตโนมัติ รวมถึงสามารถตรวจความปลอดภัยของรหัสผ่านได้ด้วย
- ระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครอง — กรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม จำกัดเวลาการใช้งานอุปกรณ์ และติดตามระยะเวลาการใช้งาน YouTube และ Hulu (Norton นั้นเป็น #1 ในรายการแอนตี้ไวรัสที่มีระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครองที่ดีที่สุด และ #2 ในรายการแอปควบคุมสำหรับผู้ปกครองแบบสแตนด์อโลน)
- เบราว์เซอร์อย่างปลอดภัย — ปกป้องคุณจากภัยอันตรายออนไลน์ เพื่อช่วยให้คุณท่องเว็บได้อย่างปลอดภัย
- เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพระบบ — นำไฟล์ที่ไม่ต้องการออกจาก Windows และเว็บเบราว์เซอร์ ช่วยเพิ่มความเร็วในการเปิดเครื่อง และทำการจัดเรียงข้อมูลในฮาร์ดไดรฟ์ใหม่
- การเฝ้าระวัง dark web — สแกนเว็บบอร์ด dark web, ฐานข้อมูลการรั่วไหลของข้อมูล และรายงานบัตรเครดิตแบบเรียลไทม์
ฟีเจอร์การเฝ้าระวัง dark web ของ Norton จะช่วยสแกนดู dark web, รายงานข้อมูลเครดิต และฐานข้อมูลการรั่วไหล เพื่อแจ้งเตือนคุณในกรณีที่ข้อมูลส่วนตัวของคุณกำลังมีความเสี่ยง เราชอบมากที่ Norton นั้นจะใช้เจ้าหน้าที่ที่เป็นคนจริง ๆ ในการเฝ้าระวัง แทนการใช้วิธีที่อ้างอิงจากฐานข้อมูลเพียงอย่างเดียวเหมือนกับคู่แข่งรายอื่น ๆ เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะคอยตรวจสอบตามเว็บบอร์ดบน dark web ซึ่งจะทำให้ Norton สามารถค้นพบและแจ้งเตือนคุณเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลที่ฐานข้อมูลอาจจะพลาดไปได้
โดยรวมแล้วนั้น Norton จะมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่าแอนตี้ไวรัสตัวอื่น ๆ มันใช้งานง่ายมาก ๆ และก็ใช้งานเข้ากับ Windows Defender ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องทำการปรับเปลี่ยนการตั้งค่าใด ๆ เลย มันมีโหมดสำหรับเล่นเกมด้วย ดังนั้นคุณจะสามารถเล่นเกมได้โดยที่ไม่ถูกรบกวน ในขณะที่มันทำงานอยู่ในพื้นหลัง
มีแพลนให้เลือกมากมายแต่ Norton 360 Deluxe นั้นมีความคุ้มค่ามากที่สุด — แถมถ้าใช้ข้อเสนอลดราคา 58% ของเรา คุณก็จะสามารถรับบริการได้ในราคาเพียง US$49.99 / ปี* ผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกายังสามารถเลือกดูแพลน Norton LifeLock ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ US$99.99 / ปี* และมันจะเพิ่มความคุ้มกันการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคลถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นค่าประกันและค่าดำเนินการทางกฎหมาย แพลนทั้งหมดของ Norton นั้นจะมีการรับประกันคืนเงินภายในเวลา 60 วัน
สรุป:
Norton นั้นมีความสามารถในการป้องกันมัลแวร์อย่างที่หาใครเทียบไม่ได้ มีฟีเจอร์ความปลอดภัยระดับชั้นนำ และก็มีแพลนในราคาไม่แพงที่สามารถใช้งานได้ถึง 10 อุปกรณ์ นอกจากนี้มันยังมีฟีเจอร์เสริมต่าง ๆ เช่น VPN ที่มีความเร็วสูง เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีความปลอดภัย และก็มีระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครองที่ดีที่สุดที่บันเดิลมากับแอนตี้ไวรัส ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีแพลนระดับฟรีสำหรับ Windows แต่มันก็มีความคุ้มค่ามากที่สุด และมันก็มาพร้อมกับการรับประกันคืนเงินภายใน 60 วัน ดังนั้นคุณจะสามารถทดลองใช้งานมันได้อย่างไม่มีความเสี่ยงเป็นเวลา 2 เดือนเต็ม
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ Norton ได้ที่นี่ >
🥈2. Bitdefender Antivirus Free สำหรับ Windows — การป้องกันมัลแวร์และปกป้องเว็บขั้นสูงแต่ใช้ทรัพยากรน้อย
Bitdefender Antivirus Free สำหรับ Windows เป็นหนึ่งใน แอนตี้ไวรัสฟรี ตลอดกาลที่ดีที่สุด — ตัวสแกนไวรัสของมันสามารถทำคะแนนการตรวจจับได้ 100% ระหว่างการทดสอบของเรา มันสามารถตรวจจับไวรัส, โทรจัน, แรนซัมแวร์ รวมถึงรูทคิทที่ขึ้นชื่อว่ายากต่อการกำจัด ยิ่งไปกว่านั้น Bitdefender ยังใช้ตัวสแกนแบบคลาวด์ ซึ่งก็หมายความว่าการตรวจจับและการวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะไม่ได้ดำเนินการบน PC ของคุณ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบที่มีต่อระบบได้ เราไม่รู้สึกถึงความเร็วที่ตกลงไปเลย แม้ว่าคอมของเราจะทำการสแกนเต็มรูปแบบอยู่ก็ตาม
Bitdefender นั้นยังมีการป้องกันการฟิชชิงที่ดีเยี่ยมใน แอนตี้ไวรัสฟรี ของพวกเขาอีกด้วย ระหว่างการทดสอบของเรา มันสามารถบล็อกเว็บไซต์ปลอมที่หลบหลีกการป้องกันแบบบิ้วท์อินของ Chrome และ Firefox รวมถึงเครื่องมือป้องกันการฟิชชิ่งของแอนตี้ไวรัสรายอื่น ๆ ได้มากมาย จากแบรนด์ทั้งหมดในรายการนี้มีเฉพาะ Bitdefender และ Norton เท่านั้นที่ป้องกันการฟิชชิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ข้อเสียหนึ่งของเวอร์ชันฟรีของ Bitdefender ก็คือมันไม่ค่อยมีฟีเจอร์เสริมให้ใช้ มันมีการป้องกันมัลแวร์ เว็บไซต์ และการป้องกันแบบเรียลไทม์ที่ดีที่สุดตัวหนึ่ง แถมยังมีการป้องกันแรนซัมแวร์ซึ่งใช้งานเข้ากันได้กับเครื่องมือเข้ารหัส Windows Bitlocker แต่ก็เท่านั้น แพลนระดับพรีเมียมของ Bitdefender จะมอบฟีเจอร์เสริมให้กับคุณ ซึ่งรวมถึง VPN ที่มีเซิร์ฟเวอร์ในประเทศไทย, เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ, เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน, ระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครอง และไฟร์วอลล์ (ถ้าคุณใช้เวอร์ชันฟรี ไฟร์วอลล์ของ Defender ก็จะเปิดทำงานต่อไป) ข้อเสียเดียวก็คือแพลนส่วนใหญ่ของ Bitdefender นั้นจะจำกัดเรื่องข้อมูล VPN อย่างเข้มงวด (Norton จะมี VPN แบบที่ใช้ข้อมูลได้ไม่จำกัดสำหรับแพลนส่วนใหญ่)
แพลนแบบจ่ายเงินของ Bitdefender นั้นมีราคาไม่แพงเลย โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ US$24.99 / ปี และทุกแพลนนั้นก็มีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน มันมี Internet Security ซึ่งจะมีฟีเจอร์ส่วนใหญ่ของ Bitdefender (ยกเว้น VPN แบบข้อมูลไม่จำกัดและเครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบที่มีฟีเจอร์ครบครับ) สำหรับ Windows PC 3 เครื่อง ในราคาเพียง US$37.99 / ปี Premium Security เปิดให้เข้าถึงฟีเจอร์ทั้งหมดได้สูงสุด 10 อุปกรณ์ (รวมถึง Macs และสมาร์ทโฟน) ในราคา US$69.99 / ปี — มันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดถ้าคุณต้องการความมั่นใจว่าอุปกรณ์ของคุณทุกเครื่องจะได้รับการปกป้อง 100% จากภัยอันตรายออนไลน์ทั้งหมด ผู้ใช้งานที่มีงบประมาณจำกัดสามารถลองดู Antivirus Plus ซึ่งจะรองรับอุปกรณ์ Windows 3 เครื่อง ในราคาเพียง US$24.99 / ปี
สรุป:
แอนตี้ไวรัสฟรีของ Bitdefender สำหรับ Windows นั้นเป็นตัวเลือกระดับชั้นนำที่ไม่เน้นฟีเจอร์เสริม มันจะช่วยปกป้องคุณจากมัลแวร์และภัยอันตรายจากเว็บไซต์ มันมีอัตราการตรวจจับที่สมบูรณ์แบบ และก็แทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพอุปกรณ์ของคุณเลย ถ้าคุณต้องการจะเข้าถึงฟีเจอร์เสริมอื่น ๆ คุณก็จะต้องอัปเกรดไปใช้แพลนระดับพรีเมียมของ Bitdefender แพลนทั้งหมดของมันนั้นจะมีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน ดังนั้นคุณจึงสามารถทดลองใช้งานได้อย่างไม่มีความเสี่ยง
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ Bitdefender ได้ที่นี่
🥉3. Panda Free Antivirus สำหรับ Windows — ป้องกันไวรัสได้ดี มีส่วนเสริมที่ใช้งานได้
Panda Free Antivirus สำหรับ Windows นั้นใช้ทรัพยากรน้อย มีความปลอดภัยและก็ใช้งานง่าย — ระหว่างการทดสอบของเรา ตัวสแกนไวรัสฟรีของ Panda นั้นสามารถตรวจจับแอดแวร์ สปายแวร์ และแรนซัมแวร์ ได้มากกว่า Windows Defender อย่างมีนัยสำคัญ การป้องกันแบบเรียลไทม์ของ Panda นั้นก็สามารถทำงานได้ดีมากด้วย มันสามารถบล็อกไฟล์มัลแวร์ส่วนใหญ่ที่เราดาวน์โหลดใส่ PC ได้
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ Panda เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้งาน Windows ก็คือ Rescue Kit (ชุดช่วยเหลือ) ซึ่งจะทำให้คุณสามารถดาวน์โหลด Panda ที่สามารถทำงานบน USB ได้ และคุณก็สามารถนำ USB นั้นไปใช้ทำความสะอาด PC ที่ติดไวรัสเพื่อให้มันกลับมาทำงานได้อีกครั้ง คุณสามารถดาวน์โหลด Windows แบบที่เปิดใช้ผ่าน USB ได้จากเว็บไซต์ของ Microsoft และก็ใช้ฟังก์ชันการซ่อมแซมของมันได้เช่นกัน แต่จากการทดสอบของเรานั้น Panda สามารถตรวจจับมัลแวร์บน PC ที่เปิดใช้งานไม่ได้ ดีกว่า Windows
เราชอบมาก ๆ ที่ Panda นั้นมีโหมดสำหรับเล่นเกมอยู่ใน แอนตี้ไวรัสฟรี ของพวกเขา — เมื่อไรก็ตามที่คุณเล่นเกมหรือดูวิดีโอแบบเต็มหน้าจอ Panda ก็จะหยุดการแจ้งเตือนโดยอัตโนมัติ Windows Defender จะไม่ได้ทำแบบนี้เป็นค่าเริ่มต้น แต่เราก็ยังชอบ Norton สำหรับเล่นเกมมากกว่า เนื่องจากมันมีโหมดเล่นเกมที่สามารถเพิ่มความเร็วให้ PC ของคุณได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณสมัครแพลนสำหรับเกมเมอร์)
แอนตี้ไวรัสฟรีของ Panda นั้นยังมาพร้อมกับ VPN ที่มีความปลอดภัย (แต่มีข้อจำกัด) อีกด้วย มันมีความเร็วในการเชื่อมต่อที่สูง แต่มันเปิดให้คุณเชื่อมต่อได้แค่ 1 อุปกรณ์ และก็มีข้อมูลจำกัดเพียงแค่ 150 MB ต่อวัน — นี่ถือว่าดีกว่าของ Avira ที่มีให้แค่ 500 MB ต่อเดือน แต่มันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับใช้สตรีมมิ่งหรือใช้แชร์ไฟล์อยู่ดี หากคุณกำลังต้องการที่จะสตรีมมิ่งหรือโหลดบิทอย่างไม่จำกัด คุณก็จะต้องใช้ VPN ที่ดีกว่านี้ (ดูรายการแอนตี้ไวรัสซึ่งมาพร้อมกับ VPN ที่ดีที่สุดของพวกเราได้ที่นี่ หรือรายการ VPN ฟรี ที่ดีที่สุดของพวกเรา ).
แพลน Panda Dome Premium นั้นจะมี VPN แบบที่ไม่จำกัดข้อมูล (และก็เปิดให้เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ทั่วโลก) และมันก็ยังมีฟีเจอร์เสริมอย่างไฟร์วอลล์, การป้องกันแรนซัมแวร์, การป้องกันการฟิชชิง, เครื่องมือปรับปรุงประสิทธิภาพระบบขั้นสูง, เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน และระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครองขั้นพื้นฐาน ทั้งหมดนี้ในราคา US$56.00 / ปี แพลนทั้งหมดของ Panda มาพร้อมกับการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
สรุป:
โปรแกรมแอนตี้ไวรัสฟรีของ Panda นั้นมีคุณภาพดีและใช้งานง่าย มันมีการป้องกันมัลแวร์แบบเรียลไทม์ฟรี 100% ด้วยตัวสแกนไวรัสที่ใช้ทรัพยากรน้อย, โหมดเล่นเกมอัตโนมัติ, Rescue Kit (ชุดช่วยเหลือ) และ VPN ทำให้ Panda เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องมือป้องกันภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตฟรีที่ดีเยี่ยมซึ่งจะดีกว่าเครื่องมือที่เป็นค่าเริ่มต้นของ Windows แต่ถ้าหากคุณต้องการใช้งาน VPN อย่างไม่จำกัด และฟีเจอร์เสริมอื่น ๆ อย่างไฟร์วอลล์ การป้องกันการฟิชชิง เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน และระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครองขั้นพื้นฐาน — คุณก็จะต้องอัปเกรด Panda นั้นมีแพลนอยู่ 4 ระดับ สำหรับผู้ใช้งานแบบจ่ายเงิน ราคาเริ่มต้นที่ US$20.00 / ปี ดังนั้นคุณจะสามารถเลือกใช้แพลนที่เหมาะกับคุณได้อย่างง่ายดาย — หรือคุณจะลองใช้งาน Panda ฟรี ก่อนแล้วค่อยอัปเกรดทีหลังก็ได้
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ Panda ได้ที่นี่ >
4. TotalAV Free Antivirus — แอนตี้ไวรัสฟรีที่เข้าใจได้ง่ายมากที่สุด
TotalAV Free Antivirus นั้นมีตัวสแกนไวรัสฟรีตลอดกาลที่ดีเยี่ยม ระหว่างการทดสอบของเรา มันสามารถตรวจจับและนำตัวอย่างมัลแวร์ออกได้มากกว่า (ไวรัส โทรจัน แรนซัมแวร์ สปายแวร์) เมื่อเทียบกับโปรแกรมแอนตี้ไวรัสส่วนใหญ่ (ซึ่งรวมถึง Windows Defender ด้วย) ในฐานะเครื่องมือแบบคลาวด์ มันจะใช้ทรัพยากรน้อยกว่าโปรแกรมอื่นเป็นอย่างมากด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องดี!
น่าเสียดายที่เกือบทุกฟีเจอร์อื่นของมันนั้นจะถูกจำกัดไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในแพลนระดับฟรีของ TotalAV บางฟีเจอร์นั้นจะไม่มีให้ใช้งานเลยด้วยซ้ำจนกว่าที่คุณจะอัปเกรด (ที่เด่นชัดที่สุดก็คงจะเป็นการป้องกันแบบเรียลไทม์ รวมถึง VPN และเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน) ในขณะที่เครื่องมืออื่น ๆ จะเปิดให้ใช้ได้เป็นเวลาแค่ 48 ชั่วโมง (เครื่องมือทำความสะอาดและเพิ่มประสิทธิภาพ) หรือไม่ก็จะมาพร้อมกับข้อจำกัดอื่น ๆ (ตัวบล็อกโฆษณาเวอร์ชันฟรีนั้นก็ฟรีตลอดกาลจริง ๆ แต่มันจะไม่บล็อกโฆษณาบนเว็บไซต์ยอดนิยม — ซึ่งก็คงจะเป็นเว็บที่จริง ๆ แล้วคุณต้องการให้บล็อกโฆษณามากที่สุด)
ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ TotalAV ก็ยังเป็น แอนตี้ไวรัสฟรี สำหรับ Windows ที่ใช้งานได้ง่ายที่สุดในรายการนี้ มันมีฟังก์ชั่นที่เข้าใจง่ายและใช้งานง่าย ทั้งหมดนี้ถูกรวบรวมเอาไว้ในแดชบอร์ดหน้าตาดูมินิมอลซึ่งถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี เราสามารถเปิดเข้าใช้งานแดชบอร์ดของ TotalAV ได้อย่างง่ายดาย การใช้งานและทดสอบเครื่องมือทั้งหมดนั้นก็ง่ายมากด้วย เช่นเดียวกับ Norton มันจะทำงานเข้ากับระบบปฏิบัติการของ Windows ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยที่มันจะปิดการป้องกันแบบเรียลไทม์ของ Windows โดยอัตโนมัติเพื่อที่จะไม่ให้มารบกวนการทำงานของ TotalAV
ในขณะที่แพลนระดับฟรีนั้นจะดีมาก ๆ สำหรับใช้กำจัดไวรัสที่ติดอยู่ก่อนแล้ว และใช้เป็นการทดสอบฟีเจอร์แบบจ่ายเงินของ TotalAV ก่อนที่จะทำการผูกมัด การอัปเกรดไปใช้แพลนระดับพรีเมียมนั้นจะทำให้คุณได้รับการป้องกันไวรัสแบบเรียลไทม์ รวมถึงฟีเจอร์เสริมที่มีประโยชน์อย่างเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ, ตัวบล็อกโฆษณา, เบราว์เซอร์ที่มีความปลอดภัย, VPN ที่ไม่จำกัดข้อมูล, เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน และอีกมากมาย
เมื่อพูดถึง VPN แล้วมันก็มีคุณภาพดีมาก ๆ — อันที่จริงมันเป็น VPN ระดับชั้นนำที่บันเดิลมากับแอนตี้ไวรัสสำหรับเราเลย มันสามารถใช้งานร่วมกับบริการสตรีมมิ่งใหญ่ ๆ ได้ทั้งหมด และก็ยังรองรับการแชร์ไฟล์แบบ P2P บนทุกเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้ความเร็วของเราตกลงไปมากนัก แต่เราคิดว่ามันก็ยังดีไม่เท่ากับ VPN แบบสแตนด์อโลนอย่าง ExpressVPN อยู่ดี
แพลนแบบจ่ายเงินของ TotalAV นั้นมีราคาเริ่มต้นที่ US$19.00 / ปี สำหรับการรองรับ 5 อุปกรณ์ แต่เราชอบแพลน TotalAV Total Security มากที่สุด ซึ่งมันจะรองรับได้ถึง 8 อุปกรณ์ในราคา US$49.00 / ปี และมันก็จะมีฟีเจอร์ทั้งหมดของ TotalAV ให้ใช้งานได้ด้วย ซึ่งรวมถึงเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีคุณภาพดีมาก แพลนทั้งหมดนั้นมีการรับประกันคืนเงินอย่างไม่มีความเสี่ยงเป็นเวลา 30 วัน
สรุป:
แอนตี้ไวรัสฟรี สำหรับ Windows ของ TotalAV นั้นใช้งานได้ดีเยี่ยมสำหรับการกำจัดมัลแวร์รูปแบบต่าง ๆ มันยังเป็นแอนตี้ไวรัสทีใช้งานได้ง่ายที่สุดอีกด้วย ซึ่งทำให้มันเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับมือใหม่ อย่างไรก็ตาม TotalAV ฟรี นั้นไม่มีการป้องกันแบบเรียลไทม์ และมันก็ไม่มีฟีเจอร์เสริมพิเศษ หากคุณต้องการระบบสแกนแบบเรียลไทม์ เครื่องมือการปรับปรุงประสิทธิภาพ PC และ VPN ที่ไม่มีข้อจำกัด คุณจะต้องอัปเกรดไปใช้แพลน Internet Security หรือ Total Security แทน
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ TotalAV ได้ที่นี่ >
5. Avast One Basic — แอนตี้ไวรัสที่มีประสิทธิภาพพร้อมเครื่องมือความเป็นส่วนตัวที่ดี
Avast One Basic นั้นเป็นแอนตี้ไวรัสฟรีสำหรับ Windows ที่มีความครอบคลุม มันเป็นหนึ่งในสอง แอนตี้ไวรัสฟรี ที่ Avast เปิดให้ใช้งาน — อีกตัวจะชื่อว่า Avast Free Antivirus ซึ่งก็จะเหมือนกับ แอนตี้ไวรัสฟรีของ AVG Avast One Basic นั้นจะมาพร้อมกับผลิตภัณฑ์ล่าสุดของบริษัท และมันก็จะมีฟีเจอร์ฟรีให้ใช้งานมากกว่า ซึ่งรวมถึง VPN และ เครื่องมือเพิ่มความเร็ว PC เราพบว่ามันใช้งานง่าย (มี UI สำหรับทุกภาษารวมถึงภาษาไทย) และเราก็ดีใจมากที่มันสามารถตรวจจับตัวอย่างมัลแวร์ระหว่างการทดสอบได้ถึง 100%
เราชอบที่มันกระตุ้นผู้ใช้งานให้ตรวจดูความปลอดภัยออนไลน์โดยรวม ผ่านทาง Privacy Advisor (ตัวแนะนำความเป็นส่วนตัว) แอปจะทำการแนะนำโดยอัตโนมัติให้เราตรวจสอบการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวบนเว็บไซต์ต่าง ๆ และก็มีลิงก์รวมถึงวิธีการทำที่ชัดเจนให้ด้วย Windows จะไม่มีอะไรแบบนี้ให้สักเท่าไร มันจึงเป็นฟีเจอร์เสริมที่เยี่ยมมาก
Avast One Basic จะมาพร้อมกับ VPN แบบติดมาในตัว แต่มันก็ไม่ได้ดีสักทีเดียว คุณจะไม่สามารถเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ได้ในเวอร์ชันฟรี และผู้ให้บริการก็ไม่มีนโยบายการไม่บันทึกข้อมูลอีกด้วย ถึงอย่างนั้นก็ตาม ก็ยังดีที่มันทำงานได้ภายในแอปเดียวกันกับแอนตี้ไวรัสและก็เปิดให้คุณใช้งานข้อมูลได้ถึง 5 GB ต่อสัปดาห์ (ซึ่งก็มากกว่า VPN ฟรี ตัวอื่น ๆ ในรายการนี้)
นอกจากนี้ยังมีไฟร์วอลล์ที่ทรงพลังและใช้งานได้ฟรีอีกด้วย มันจะตรวจสอบทราฟฟิคที่เข้าและส่งออก และก็จะบล็อกการเชื่อมต่อที่อันตราย เราพบว่าการตั้งค่าของมันนั้นเข้าใจง่ายกว่าไฟร์วอลล์ของ Windows เป็นอย่างมาก ฟีเจอร์ความปลอดภัยอื่น ๆ ในแพลนระดับฟรีนั้นจะมีการป้องกันเว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพ (มันสามารถบล็อกเว็บไซต์อันตรายที่เราเข้าได้ทั้งหมด) และ Network Inspector (ตัวตรวจสอบเครือข่าย) เครื่องมือที่จะช่วยสแกนหาช่องโหว่ในการเชื่อมต่อ Wi-Fi ของคุณ แต่เราเห็นว่าอินเทอร์เฟซของมันนั้นดูค่อนข้างรก และก็เข้าใจยากเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Norton และ TotalAV
โปรดทราบว่า Avast One นั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่เปิดให้บริการในบางประเทศเท่านั้น หากคุณไม่ได้อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ เยอรมนี คุณก็จะไม่สามารถใช้ Avast One ได้ แอนตี้ไวรัสฟรีตัวอื่น ๆ ของบริษัทนั้นจะเปิดให้ใช้งานได้ทั่วโลก
แพลนระดับพรีเมียมของ Avast นั้นมีราคาเริ่มต้นที่ US$35.88 / ปี และก็จะมีการป้องกันเพิ่มเติม อย่างเช่นการป้องกันเว็บแคม ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์อื่น ๆ รวมถึงคุณจะสามารถใช้ Avast ได้ถึง 5, 10 หรือ 30 อุปกรณ์ Avast นั้นยังมีการเฝ้าติดตามข้อมูลบัตรเครดิต โซเชียลมีเดีย และการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคลให้กับลูกค้า One Platinum ด้วยในราคาเพียง US$119.88 / ปี แพลนทั้งหมดนั้นมาพร้อมกับการรับประกันคืนเงิน 30 วัน
สรุป:
Avast One Basic นั้นเป็นแพ็กเกจ แอนตี้ไวรัสฟรี ตลอดกาลคุณภาพดีที่มีตัวสแกนไวรัสอันทรงพลัง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่แอนตี้ไวรัสฟรีที่ดีที่สุด แต่มันก็มีไฟร์วอลล์ที่มีประสิทธิภาพ มีการปกป้องเครือข่ายที่ดี และก็มีฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวที่ใช้ได้ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีกว่า Windows Defender VPN นั้นก็มีข้อมูลให้ใช้เยอะ และตัวแอปเองก็ใช้งานง่ายด้วย หากคุณต้องการใช้งานข้อมูลไม่จำกัด หรือต้องการการป้องกันเว็บไซต์เพิ่มเติม คุณจะต้องสมัครใช้งานแพลนระดับพรีเมียมของ Avast แทนได้ ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ US$35.88 / ปี
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ Avast ได้ที่นี่ >
6. Avira Free Security สำหรับ Windows — ตัวสแกนไวรัสขั้นสูงผ่านระบบคลาวด์พร้อมตัวทำความสะอาดระบบ
Avira Free Security สำหรับ Windows นั้นมีเอนจินป้องกันมัลแวร์ที่ใช้งานได้ดีซึ่งสามารถทำงานบนคลาวด์ได้อย่างเต็มรูปแบบ นี่จะเป็นสิ่งที่ต่างจาก Windows Defender และทำให้ Avira นั้นเร็วและก็ใช้ทรัพยากรน้อย ระหว่างการทดสอบของเรา เอนจินป้องกันมัลแวร์ของ Avira นั้นสามารถตรวจจับไฟล์มัลแวร์ที่เราดาวน์โหลดใส่เครื่องมาได้ทั้งหมด และเราก็ชอบมากที่เราสามารถใช้โปรแกรมที่ต้องใช้งาน CPU หนัก ๆ ได้ระหว่างที่ทำการสแกนโดยที่ความเร็วแทบจะไม่ตกลงเลย
Avira นั้นยังเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานด้วย — มีหน้าตาที่สามารถเข้าใจและใช้งานได้ง่าย ฟีเจอร์ทั้งหมดนั้นถูกระบุเอาไว้อย่างชัดเจน และมันก็ยังมีฟีเจอร์เสริมที่ดีเลิศอีกด้วย เช่น:
- ไฟร์วอลล์
- Safe Shopping ส่วนขยายเบราว์เซอร์
- ความเป็นส่วนตัวและเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
- VPN (จำกัดการใช้งานที่ 500 MB ต่อเดือน)
- เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน
- ตัวเร่งความเร็ว
- ตัวทำลายไฟล์
ส่วนขยายเบราว์เซอร์ Safe Shopping นั้นใช้งานได้ดีมาก ๆ — มันสามารถบล็อกเว็บไซต์ฟิชชิงที่น่าสงสัย, ตัวติดตามเว็บไซต์ และโฆษณาที่ไม่พึงประสงค์ได้ และคุณก็ยังสามารถดาวน์โหลดมันมาใช้งานได้ทั้งบน Firefox, Chrome, Opera และ Edge ส่วนขยายนั้นยังสามารถแนะนำลิงก์อัตโนมัติเพื่อให้คุณได้รับข้อเสนอที่ดีขึ้นตอนที่ช้อปปิ้งออนไลน์ได้อีกด้วย ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าคุณเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยในการช้อปปิ้งออนไลน์ เราก็อยากแนะนำให้คุณลองดู เบราว์เซอร์ส่วนตัวของ Norton ซึ่งจะมีการป้องกันติดมาในตัว, มีตัวป้องกันความเป็นส่วนตัวและอื่น ๆ ซึ่งใช้งานได้ฟรี 100%
นอกจากนี้เรายังชอบเรื่องความเป็นส่วนตัวและของเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพของ Avira มาก — มันสามารถล้างคุกกี้กับไฟล์ขยะ และก็สามารถแก้ไขการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวที่ซ่อนอยู่ ซึ่งทำให้ข้อมูลส่วนตัวของเรารั่วไหลออกไปบนเว็บได้อีกด้วย แม้แต่เวอร์ชันฟรีของตัวอัปเดตไดรเวอร์และตัวทำความสะอาดขยะนั้นก็ยังถือว่าดีกว่าของ Windows ซึ่งทำให้กิจกรรมที่มีความจำเป็นเหล่านี้กลายเป็นเรื่องยากอย่างน่าประหลาดใจ แต่น่าเสียดายที่เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ Avira นั้น ต้องจ่ายเงินถึงจะใช้งานได้
น่าเสียดายที่ VPN ฟรีของ Avira นั้นถูกจำกัดให้ใช้งานได้แค่ 500 MB ต่อเดือน ซึ่งก็เพียงพอสำหรับใช้ดูวิดีโอสั้น ๆ ได้ไม่กี่วิดีโอเท่านั้น (และก็น้อยกว่าที่ Panda ให้ในแพลนระดับฟรีพอตัวเลยด้วย) แถม Avira จะเปิดให้คุณเชื่อมต่อไปได้เฉพาะเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดเท่านั้นเวลาใช้แพลนระดับฟรี
Avira Prime จะมี VPN ที่มีข้อมูลไม่จำกัดให้ใช้งาน และก็มีราคา US$59.99 / ปี — มันมีราคาสูงกว่าคู่แข่งเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่ามีชุดแอนตี้ไวรัสที่ดีที่สุดชุดหนึ่งในปี 2024 และมันก็จะมีการรองรับหลายอุปกรณ์พร้อมกับเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพระบบขั้นสูงด้วย Avira รับประกันคืนเงินทุกการสมัครสมาชิกรายปีเป็นเวลา 60 วัน
สรุป:
เอนจินสแกนไวรัสแบบคลาวด์ของ Avira นั้นเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใช้ปกป้อง PC ของคุณให้ปลอดภัย มันใช้ทรัพยากรน้อย มีความเร็วสูง และก็มีอัตราการตรวจจับที่ดี ใช้งานได้ฟรี 100% นอกจากนี้เรายังชอบ Safe Shopping ซึ่งเป็นส่วนขยายเบราว์เซอร์ฟรีของ Avira รวมถึงเครื่องมือปรับปรุงความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างมาก ทั้งสองตัวนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มากกว่าการป้องกันที่มีติดมาในตัวของ Microsoft อย่างเห็นได้ชัด หากคุณต้องการเครื่องมือป้องกันภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตขั้นสูงกว่านี้ คุณจะต้องอัปเกรดไปใช้แพลนแบบจ่ายเงินของ Avira ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ US$26.99 / ปี
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ Avira ได้ที่นี่ >
7. Malwarebytes Free — ตัวสแกนไวรัสฟรีแบบมินิมอล
Malwarebytes Free นั้นเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหาแอนตี้ไวรัสแบบเรียบง่าย ที่สามารถติดตั้งได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายและก็ลืมมันไปได้เลย มันเป็นตัวสแกนไวรัสที่ใช้ฐานข้อมูลรวมถึงวิธีการแบบฮิวริสติกเพื่อตรวจจับมัลแวร์ทุกชนิด มันสามารถทำงานได้ดีมากระหว่างการทดสอบของเรา มันสามารถตรวจจับมัลแวร์ที่เราซ่อนไว้ใน PC ได้ถึง 95% อย่างไรก็ตาม มันยังมีพลาดไฟล์ที่ซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดีที่คู่แข่งอย่าง Norton และ Bitdefender ตรวจเจออยู่บ้าง
นอกจากตัวสแกนไวรัสแล้ว คุณยังจะได้รับส่วนขยายเบราว์เซอร์ฟรีอีกด้วย มันจะช่วยปกป้องคุณจากภัยอันตรายต่าง ๆ ซึ่งรวมถึง มัลแวร์ โฆษณา และตัวติดตาม สแกม และโปรแกรมแบบ PUP ถึงแม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์แบบแต่มันก็สามารถบล็อกเว็บไซต์อันตรายได้ 90% บนทุกเบราว์เซอร์ที่เราทำการทดสอบ ซึ่งมีความโดดเด่นมากกว่าการป้องกันเว็บไซต์ขั้นพื้นฐานที่ระบบปฏิบัติการ Windows มีให้ มันยังสามารถบล็อกโฆษณาได้ด้วย แต่ยังดีไม่เท่ากับส่วนขยายฟรีของ Avira
ถึงแม้ว่าเวอร์ชันฟรีจะขาดฟีเจอร์ต่าง ๆ ไปบ้าง แต่ตัวสแกนไวรัสพื้นฐานของมันนั้นถือว่าดีเยี่ยมและใช้ทรัพยากรน้อย หมายความว่ามันสามารถนำภัยอันตรายต่าง ๆ ออกจากเครื่องได้โดยที่ไม่ใช้ทรัพยากรมากจนเกินไป หากคุณต้องการเครื่องมือฟรีที่คุณสามารถใช้เป็นครั้งคราวในการค้นหาภัยอันตรายซึ่ง Windows Defender หาไม่เจอ Malwarebytes ก็จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะมากสำหรับคุณ
อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันฟรีนั้นจะขาดการป้องกันแบบเรียลไทม์ ดังนั้นคุณจะต้องใช้อาศัยการป้องกันจาก Defender ซึ่งไม่ค่อยดีนักแทน ยิ่งไปกว่านั้นแพลนระดับพรีเมียมของมันก็ยังไม่มีฟีเจอร์อย่างการป้องกัน Wi-Fi, ไฟร์วอลล์, เครื่องมือปรับปรุงประสิทธิภาพระบบ และเครื่องมือจัดการรหัสผ่านอีกด้วย ถ้าคุณต้องการแค่การใช้งานระดับพื้นฐาน Malwarebytes นั้นก็ถือว่าใช้ได้ แต่มันมีฟีเจอร์น้อยมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งระดับชั้นนำอย่าง Norton และ Bitdefender
สำหรับการป้องกันแบบเรียลไทม์ คุณสามารถอัปเกรดไปใช้ Malwarebytes Standard ซึ่งจะครอบคลุมอุปกรณ์ 2 เครื่อง ในราคา US$44.99 / ปี (คุณจะสามารถเพิ่มจำนวนการให้อนุญาตได้สูงสุด 20 เครื่อง โดยมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม) Malwarebytes Plus จะเพิ่ม VPN ที่ดีใช้ได้เข้ามาด้วยในราคา US$59.99 / ปี แพลนระดับพรีเมียมทั้งสองแพลนของ Malwarebytes นั้นจะมีการรับประกันคืนเงินยาวนานถึง 60 วัน นอกจากนั้น Malwarebytes Free ก็จะมีแถมให้คุณทดลองใช้ Malwarebytes Standard ได้ฟรีเป็นเวลา 14 วัน เพื่อให้คุณทดสอบฟีเจอร์แบบจ่ายเงินได้อย่างไม่มีความเสี่ยงอีกด้วย
สรุป:
บริการฟรีของ Malwarebytes นั้นเป็นบริการทั่ว ๆ ไป มีเครื่องสแกนที่ดีที่สามารถตรวจจับและลบมัลแวร์ได้ดี นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับส่วนเสริมบราวเซอร์ที่สามารถปิดกั้นมัลแวร์ เว็บฟิชชิ่ง โฆษณาและเครื่องมือติดตามได้ (เครื่องมือปิดกั้นโฆษณาใช้งานได้ดีเป็นครั้งคราว) เมื่ออัพเกรดเป็นแผน Malwarebytes Standard คุณจะได้รับการป้องกันเรียลไทม์ ครอบคลุม 20 อุปกรณ์และแผน Malwarebytes Plus จะเพิ่ม VPN ให้ใช้งาน
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ Malwarebytes ได้ที่นี่ >
8. AVG AntiVirus Free — ตัวสแกนไวรัสที่ใช้งานได้ดี มาพร้อมการปกป้องไฟล์
AVG นั้นมี แอนตี้ไวรัสฟรี ที่ใช้งานได้ดีและก็ใช้งานง่าย นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เสริมดี ๆ อีกด้วย มันจะหน้าตาดูเหมือนกับ Avast Free Antivirus — เพราะมันเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทเดียวกัน และเทคโนโลยีที่ใช้นั้นก็จะดูคล้ายคลึงกันมาก แต่มันจะดูแตกต่างจาก Avast One Basic พอตัว
ตัวสแกนไวรัสฟรีนั้นใช้งานได้ดี — มันสามารถตรวจจับตัวอย่างมัลแวร์บน PC ของเราได้ถึง 100% ยิ่งไปกว่านั้น คุณยังสามารถทำการสแกนได้ถึง 5 แบบด้วยกัน Deep Scan (สแกนลึก) นั้นสามารถทำงานได้ดี แต่ Smart Scan (สแกนอัจฉริยะ) นั้นยังพลาดไปหลายตัวอยู่ระหว่างการทดสอบของเรา boot scan (บูทสแกน) นั้นจะคล้ายกับการสแกนออฟไลน์ของ Windows แต่จะทำงานได้เร็วกว่าจากการทดสอบของเรา มันมีตัวเลือกให้คุณทำการสแกนประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ PC แต่คุณจะไม่สามารถใช้งานมันในเวอร์ชันฟรีได้ ทันทีที่มันสแกนเสร็จ คุณก็จะเจอกับการพยายามขายของซึ่งเรารู้สึกว่าน่ารำคาญ
AVG นั้นจะมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ดีและปกติแล้วจะไม่มีให้ใช้ในแอนตี้ไวรัสฟรีของ Windows หลัก ๆ เลยก็คือไฟร์วอลล์ที่มีคุณภาพดีกว่าไฟร์วอลล์ที่ติดมาในตัวของ Microsoft นอกจากนี้เรายังชอบ HackCheck ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่จะแจ้งเตือนคุณในทันทีถ้าอีเมลของคุณเกิดการรั่วไหล (แต่มันก็ไม่ละเอียดเท่ากับการแจ้งเตือนการละเมิดของ Norton) พูดกันในระดับพื้นฐานแล้วนั้น File Shield (โล่ไฟล์) จะสามารถแจ้งเตือนตอนที่เราพยายามเปิดไฟล์ที่ติดมัลแวร์ และ AVG ก็สามารถกักกันไฟล์อันตรายได้อย่างไม่มีปัญหา
คุณจะได้รับการป้องกันเพิ่มขึ้นจาก Behavior Shield (โล่พฤติกรรม) เครื่องมือที่จะทำการสแกนหามัลแวร์ซึ่งยังไม่มีอยู่ในฐานข้อมูล มันจะทำการสแกนแอปอยู่เป็นระยะเพื่อมองหากิจกรรมที่น่าสงสัย ถ้าพบเจอ โปรแกรมนั้นก็จะถูกบล็อกโดยอัตโนมัติ
น่าเสียดายที่การป้องกันแรนซัมแวร์และการป้องกันเว็บไซต์นั้นไม่สมบูรณ์แบบ มันดีมากที่ฟีเจอร์ทั้งหมดนี้เปิดให้ใช้งานได้ในเวอร์ชันฟรีได้ แต่มันจะดีกว่าถ้ามันสามารถทำงานได้ถูกต้องทุกครั้ง 100% Web Shield (โล่เว็บ) สามารถบล็อกเว็บไซต์ฟิชชิงได้บางเว็บจากที่เราทำการทดสอบมา และการป้องกันแรนซัมแวร์ก็ไม่ได้ทำอะไรเลยตอนที่เราจำลองสถานการณ์แรนซัมแวร์
สำหรับการป้องกันแบบเรียลไทม์ คุณสามารถอัปเกรดไปใช้ Malwarebytes Standard ซึ่งจะครอบคลุมการใช้งานถึง 20 อุปกรณ์และก็มีราคาเริ่มต้นที่ US$44.99 / ปี Malwarebytes Plus จะเพิ่ม VPN ที่ดีใช้ได้ดีเข้ามาด้วยในราคา US$59.99 / ปี แพลนระดับพรีเมียมทั้งสองแพลนของ Malwarebytes นั้นจะมีการรับประกันคืนเงินยาวนานถึง 60 วัน นอกจากนั้น Malwarebytes Free ก็จะมีแถมให้คุณทดลองใช้ Malwarebytes Standard ได้ฟรีเป็นเวลา 14 วัน เพื่อให้คุณทดสอบฟีเจอร์แบบจ่ายเงินได้อย่างไม่มีความเสี่ยงอีกด้วย
สรุป:
โดยรวมแล้วแอนตี้ไวรัสฟรีของ AVG เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการการป้องกันพื้นฐานสำหรับคอมพิวเตอร์ บริการอาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่สามารถใช้งานได้ง่ายและมีฟีเจอร์ไฟร์วอลล์ หากคุณต้องการเข้าถึงฟีเจอร์ขั้นสูงอย่างการป้องกันเว็บแคมและการป้องกันแรนซัมแวร์ขั้นสูง คุณสามารถเลือกแผน AVG Internet Security (ในราคาเพียง US$39.99 / ปี) ได้
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ AVG ได้ที่นี่ >
9. ZoneAlarm — ตัวสแกนไวรัสที่มีประสิทธิภาพซึ่งมาพร้อมไฟร์วอลล์ฟรี
ZoneAlarm นั้นมีโซลูชัน แอนตี้ไวรัสฟรี ที่มีประสิทธิภาพซึ่งมาพร้อมกับไฟร์วอลล์ มันใช้งานง่ายและก็มีตัวเลือกฝ่ายบริการลูกค้าด้วย ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้สมัครสมาชิกแบบพรีเมียมก็ตาม นอกจากนี้มันยังมาพร้อมกับการป้องกันแบบเรียลไทม์และการอัปเดตอัตโนมัติ ซึ่งถือว่าดีมาก ๆ อย่างไรก็ตาม มันยังขาดฟีเจอร์เสริมอย่าง VPN, เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ, เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน แต่ข้อดีของมันก็คือ มันสามารถใช้งานได้ทันทีสำหรับคอมพิวเตอร์ Windows โดยที่มันจะแทนที่ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ Windows Defender โดยอัตโนมัติ
ระหว่างการทดสอบของเรา ZoneAlarm สามารถตรวจจับไฟล์อันตรายที่เราดาวน์โหลดเข้า PC ของเราได้ทั้งหมด การสแกนนั้นใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง และก็มีรายงานเกี่ยวกับภัยอันตรายที่มันสามารถกำจัดได้สำเร็จ — อย่างไรก็ตาม มันยังไม่ละเอียดเท่าที่เราคาดหวังเอาไว้ การสแกนนั้นก็ทำให้ PC ของเราช้าลงไปอย่างมีนัยสำคัญด้วย ถ้าอุปกรณ์ของคุณเก่าแล้ว การเลือกเครื่องมือที่ทำงานบนคลาวด์อย่าง Bitdefender ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับคุณ
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่การที่แอปฟรีอย่าง ZoneAlarm มีไฟร์วอลล์นั้นก็ฟีเจอร์ที่ดีที่สุด มันมีการป้องกันทั้งขาเข้าและขาออก ทำให้เครือข่ายของคุณปลอดภัยจากแฮ็กเกอร์และภัยอันตรายอื่น ๆ มันสามารถทำงานได้ดีตอนที่เราจำลองการโจมตีเครือข่าย ไฟร์วอลล์ฟรีนั้นจะมาพร้อมกับแอนตี้ไวรัส และก็มีเป็นผลิตภัณฑ์แบบสแตนด์อโลนด้วย
น่าเสียดายที่เวอร์ชันฟรีนั้นไม่มีการป้องกันเว็บไซต์ ซึ่งหมายความว่าคุณจะยังคงมีความเสี่ยงต่อการฟิชชิงและภัยอันตรายทางเว็บแบบอื่น ๆ อยู่ เราได้ทำการทดสอบผลิตภัณฑ์พรีเมียม และบอกตามตรงว่ามันล้มเหลวในการบล็อกเว็บไซต์ที่น่าสงสัยหลายเว็บที่เราได้เข้าชม สรุปสั้น ๆ คือถ้าคุณตัดสินใจจะจ่ายเงินเพื่อการป้องกันเว็บไซต์ Norton จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ามาก
ZoneAlarm Pro Antivirus + Firewall มีราคา US$19.95 / ปี สำหรับ 1 PC (และแพลนเดียวกันนี้ก็สามารถครอบคลุมอุปกรณ์ได้สูงสุด 50 เครื่อง โดยมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม) สำหรับความปลอดภัยบนอุปกรณ์เคลื่อนที่และการป้องกันแรนซัมแวร์ คุณจะต้องเลือก ZoneAlarm Extreme Security NextGen ซึ่งมีราคา US$23.95 / ปี สำหรับ 1 อุปกรณ์ เราคิดว่านี่ก็เป็นข้อเสนอที่ดีใช้ได้ แต่ถ้าคุณต้องการจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์พรีเมียมอยู่แล้ว มันก็มีตัวเลือกอื่น ๆ ที่ดีกว่าสำหรับคุณในรายการนี้
สรุป:
ZoneAlarm นั้นเป็น แอนตี้ไวรัสฟรี ที่ดีมาก ตัวสแกนไวรัสฟรี นั้นมาพร้อมกับไฟร์วอลล์ที่มีประสิทธิภาพ และการป้องกันแบบเรียลไทม์ที่ดีใช้ได้ มันขาดการป้องกันเว็บไซต์ และก็ใช้งานได้เฉพาะกับ Windows แต่มันก็ยังถือว่าเป็นเครื่องมือความปลอดภัยที่ดีอยู่ หากต้องการฟีเจอร์เพิ่ม คุณจะต้องเลือกใช้แพลน Pro Antivirus + Firewall หรือ Extreme Security NextGen ซึ่งจะเพิ่มการรองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่และฟีเจอร์อื่น ๆ
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ ZoneAlarm ได้ที่นี่
เปรียบเทียบแอนตี้ไวรัสฟรีที่ดีที่สุดสำหรับ Windows ในปี 2024
ทำไม Windows Defender ถึงไม่ดีพอ
คอมพิวเตอร์ Windows ของคุณนั้นจะมี Windows Defender ติดเครื่องมาอยู่แล้ว (คอมพิวเตอร์ Windows 10 และ 11 ที่ใหม่กว่าบางเครื่องจะเรียกมันว่า “Windows Security” หรือ “Microsoft Defender”) — ซึ่งตามที่พวกเราได้รีวิวฉบับเต็มเอาไว้ว่ามันเป็น แอนตี้ไวรัสฟรี ที่ดีใช้ได้ แต่ปัญหาของ Windows Defender ก็คือมันไม่มีเครื่องมือป้องกันภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ มาให้เลย พูดกันตรง ๆ ก็คือมันมีเครื่องมือฟรีตัวอื่น ๆ ที่สามารถใช้งานร่วมกับ Windows Defender เพื่อให้การป้องกันสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นอยู่
แถม Windows Defender นั้นยังมักจะได้คะแนนต่ำมาก ๆ เวลาเทียบกับตัวสแกนไวรัสชั้นนำรายอื่น ๆ ในด้านของอัตราการตรวจจับมัลแวร์ (อัตราการตรวจจับแบบออฟไลน์ของมันนั้นน่าผิดหวังเป็นพิเศษ) เพราะแบบนั้น เราจึงได้แนะนำให้คุณใช้แอนตี้ไวรัสตัวอื่น ๆ เพื่อช่วยปกป้อง PC ของคุณให้ปลอดภัยที่สุดอยู่เสมอ
แอนตี้ไวรัสฟรี ทั้งหมดในรายการนี้นั้นต่างก็สามารถทำงานได้ดีกว่า Windows Defender และมันก็สามารถใช้งานกับ Windows ได้ดีอีกด้วย มันจะแตกต่างไปสำหรับแอนตี้ไวรัสแต่ละตัว ส่วนใหญ่แล้วแอนตี้ไวรัสในรายการนี้จะเลือกปิดการทำงานบางส่วนของ Windows Defender ในขณะที่เปิดบางฟีเจอร์เอาไว้ เราไม่เห็นเหตุผลแล้วว่าทำไมคุณถึงควรจะใช้งาน Windows Defender เพียงอย่างเดียว ในขณะที่มันมีเครื่องมือฟรีตัวอื่น ๆ ที่สามารถทำงานร่วมกับมันได้
โปรแกรมฟรีบางตัวในรายการของเรานั้นมีการป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์เสริมเพิ่มให้ด้วย Avira Free Security สำหรับ Windows นั้นค่อนข้างใจกว้างมากกับสิ่งที่พวกเขาเปิดให้ใช้ได้ฟรี แต่ถึงอย่างนั้น แพลนฟรีของ Avira ก็ยังมีข้อจำกัดที่น่ารำคาญซึ่งปกติแล้วจะไม่มีในแพลนแบบจ่ายเงิน
โดยปกติแล้ว บริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์นั้นจะพยายามชักจูงคุณด้วยผลิตภัณฑ์ฟรี แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องการเปลี่ยนให้คุณเป็นผู้ใช้งานแบบจ่ายเงินอยู่ดี หากคุณกำลังมองหาการป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับอุปกรณ์ทั้งหมดของคุณ คุณจะต้องจ่ายเงินซื้อ ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสระดับพรีเมียม แต่มันก็มักจะขาดฟีเจอร์ระดับพรีเมียม เครื่องมือทั้งหมดในรายการนี้จะใช้เอนจินป้องกันมัลแวร์แบบเดียวกันกับที่ใช้ในเวอร์ชันแบบจ่ายเงิน อัตราการตรวจจับมัลแวร์ของมันมักจะสูงกว่า Windows Defender ดังนั้นคุณจะได้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์ระดับพรีเมียมแบบที่ไม่ต้องจ่ายเงินเลย
วิธีการทดสอบ: เกณฑ์ในการเปรียบเทียบและจัดอันดับ
เพื่อที่จะจัดสรรรายการนี้ขึ้นมา เราได้ใช้วิธีการทดสอบที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วของพวกเรา นี่หมายความว่าเราได้ทำการทดสอบความปลอดภัย, ความเร็ว, ฟีเจอร์, ความคุ้มค่า และฝ่ายให้บริการลูกค้าของโปรแกรมแอนตี้ไวรัสแต่ละตัวอย่างเข้มงวด มีแต่แอนตี้ไวรัสที่ทำงานได้ดีตามวิธีการทดสอบเท่านั้นที่จะเข้ามาอยู่ในรายการนี้ได้ นี่คือสิ่งต่าง ๆ ที่เราได้ทำการทดสอบ:
- เราได้ทดสอบอัตราการตรวจจับมัลแวร์ของแอนตี้ไวรัสแต่ละตัว เราได้ทำการสแกนระบบอย่างเต็มรูปแบบด้วยแอนตี้ไวรัสแต่ละตัวด้านบน รวมถึงวิธีการสแกนแบบอื่น ๆ ด้วย เราได้ทำการบันทึกอัตราการตรวจจับมัลแวร์ ระยะเวลาที่ใช้ในการสแกน และดูว่ามันทำให้คอมพิวเตอร์ของเราช้าลงหรือไม่ เราจะเลือกมาเฉพาะโปรแกรมที่สามารถตรวจจับได้ทั้งมัลแวร์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีและมัลแวร์ใหม่ รวมถึงโทรจัน, สปายแวร์, แรนซัมแวร์, รูทคิท และตัวดักจับคีย์บอร์ด ตัวเลือกชั้นนำทั้งหมดของเรานั้นต่างก็มีอัตราการตรวจจับมัลแวร์ที่สมบูรณ์แบบหรือเกือบสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น
- เรามองหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้อุปกรณ์ช้าลงจนเกินเหตุ เราลองใช้แอปที่ใช้ทรัพยากรสูงในขณะที่เปิดใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสไปด้วย และเราก็ได้ตรวจสอบดูผลกระทบที่โปรแกรมแอนตี้ไวรัสแต่ละตัวส่งผลต่อคอมพิวเตอร์ทาง Task Manager เราไม่พบเหตุการณ์ที่ความเร็วตกอย่างเห็นได้ชัดใด ๆ และแอนตี้ไวรัสทุกตัวในรายการนี้นั้นก็ส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อย โดยที่ Bitdefender ใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด
- เรามองหาฟีเจอร์เสริม ในขณะที่แอนตี้ไวรัสฟรีส่วนใหญ่นั้นจะถูกจำกัดในแง่ของฟีเจอร์ แต่ก็ยังมีโปรแกรมฟรีบางตัวที่มาพร้อมกับฟีเจอร์เสริมต่าง ๆ แอนตี้ไวรัสแต่ละตัวในรายการนี้นั้นต่างก็มีฟีเจอร์เสริมดี ๆ ที่น่าสนใจในการทดสอบของเรา ยกตัวอย่างเช่น Avira นั้นมีเครื่องมือจัดการรหัสผ่านฟรีขั้นพื้นฐาน และ Panda ก็มี VPN ฟรี (150 MB/วัน) บางแบรนด์อย่าง Norton จะมีฟีเจอร์ทั้งหมดนี้ให้ใช้อย่างไม่มีข้อจำกัด รวมถึงการรักษาความปลอดภัยของเว็บแคม, ระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครอง, พื้นที่บนคลาวด์ และอื่น ๆ
- เราทำการทดสอบว่าแอนตี้ไวรัสแต่ละตัวนั้นทำงานกับ Windows เป็นอย่างไร แอนตี้ไวรัสที่ดี (แม้แต่ตัวที่ฟรี) นั้นจะต้องทำหน้าที่ของมัน และ Windows ก็จะตอบสนองตามความเหมาะสม โดยมันจะต้องตรวจสอบว่าส่วนประกอบใดของ Windows Defender ที่มันควรจะต้องปิดเพื่อเป็นการเปิดทางให้ซอฟต์แวร์บุคคลที่สาม ทุกตัวในรายการนี้จะสามารถใช้งานได้ในทันที และมันก็จะใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการ Windows ได้
- เราตรวจสอบให้แน่ใจว่าซอฟต์แวร์นั้นฟรีจริง ๆ แบรนด์ความปลอดภัยทางไซเบอร์หลายแบรนด์นั้นต่างก็ดูไม่น่าเชื่อถือเมื่อพูดถึงแอปฟรีและการทดลองใช้ฟรี บางแบรนด์นั้นจะไม่มีการแจ้งเตือนใด ๆ เลยตอนที่ช่วงเวลาทดลองใช้ฟรีจบ และบางแบรนด์ก็จะยิงโฆษณาใส่คุณตอนที่คุณพยายามเข้าถึงฟีเจอร์ที่คุณคิดว่าฟรี เราได้ทำการตรวจสอบแต่ละแบรนด์ในรายการนี้เอง และทุกแบรนด์ต่างก็มีการปกป้องแบบฟรีให้คุณเลือกใช้ได้ Norton นั้นจะไม่มีแพลนฟรีอย่างเต็มรูปแบบ แต่มันจะมีการรับประกันคืนเงินภายใน 60 วัน — ดังนั้นคุณจะสามารถใช้งานมันได้ฟรีในช่วงเวลาดังกล่าว
- เราได้ตรวจสอบดูราคาในการอัปเกรด หลังจากที่คุณใช้ผลิตภัณฑ์ฟรีไปสักพักแล้ว คุณอาจจะอยากอัปเกรดไปใช้เวอร์ชันจ่ายเงิน มีผลิตภัณฑ์บางตัวที่จะคิดเงินแพงมากในช่วงเวลาแบบนี้ แต่ทุกแบรนด์ในรายการของเรานั้นต่างก็มีข้อเสนอแพลนระดับพรีเมียมที่มีราคาสมเหตุสมผล
ความเสี่ยงและข้อเสียของการใช้แอนตี้ไวรัสฟรีสำหรับ Windows
ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสฟรีนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใช้ป้องกันมัลแวร์และภัยอันตรายทางออนไลน์ แต่จะเป็นแบบนั้นเฉพาะถ้าคุณเลือกใช้แอนตี้ไวรัสฟรีที่มีความน่าเชื่อถืออย่างตัวที่ถูกจัดอันดับอยู่ในรายการนี้เท่านั้น โปรแกรมแอนตี้ไวรัสฟรี ส่วนใหญ่นั้นจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากมันจะขาดฟีเจอร์ความปลอดภัยที่สำคัญ (เช่นการป้องกันแบบเรียลไทม์, เครื่องมือป้องกันการฟิชชิง, การเฝ้าระวัง dark web) ไม่ก็ถูกออกแบบมาไม่ดี หรือจริง ๆ แล้วมันก็อาจจะเป็นมัลแวร์ที่ปลอมตัวให้ดูเหมือนเป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกต้อง — มัลแวร์ที่ปลอมตัวมาเหล่านี้จะส่งผลต่อผู้ใช้งาน Windows เป็นหลัก
แน่นอนว่า Windows นั้นมีแอนตี้ไวรัสฟรีของมันเองให้ใช้งานอยู่แล้ว (Windows/Microsoft Defender) ซึ่งมันก็สามารถปกป้อง PC ของคุณจากมัลแวร์ได้ดี อย่างไรก็ตาม การป้องกันมัลแวร์ของมันนั้นยังไม่เร็วเท่าและมีประสิทธิภาพเท่ากับแอนตี้ไวรัสระดับพรีเมียมอย่าง Norton และมันก็ยังขาดฟีเจอร์สำคัญหลายฟีเจอร์เลยด้วย
แอนตี้ไวรัสพรีเมียมที่ดีที่สุดนั้นจะต้องมีเครื่องมือที่สามารถปกป้อง PC ของคุณได้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเอนจินการตรวจจับมัลแวร์ที่ใช้งาน AI และ แมชชีนเลิร์นนิงในการตรวจจับทั้งไวรัสซึ่งเป็นที่รู้จักและยังไม่มีคนรู้จัก รวมถึงการป้องกันเว็บไซต์อันตรายและเครื่องมือเฝ้าระวังการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล
แอนตี้ไวรัสพรีเมียมนั้นยังสามารถบันเดิลมาพร้อมกับฟีเจอร์เสริม อย่าง VPN (เครือข่ายส่วนตัวเสมือน) เพื่อช่วยให้คุณท่องเว็บอย่างปลอดภัยได้ด้วย (TotalAV นั้นมี VPN ที่ใช้งานได้ดีมาก), เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน (เครื่องมือจัดการรหัสผ่านของ Norton นั้นดีใช้ได้) และเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพของ PC (เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ PC ของ Avira นั้นดีมาก!)
แอนตี้ไวรัสฟรี vs. แอนตี้ไวรัสแบบจ่ายเงิน
แอนตี้ไวรัสฟรีอย่าง Bitdefender และ Panda นั้นใช้งานได้ดีมาก ๆ และมันก็มีการป้องกันที่ดีใช้ได้ แต่แอนตี้ไวรัสฟรีนั้นจะไม่ได้มาพร้อมกับฟีเจอร์เสริมทั้งหมดสำหรับใช้ปกป้องคุณทางออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ — คุณจะต้องใช้แอนตี้ไวรัสพรีเมียมเพื่อที่จะอยู่อย่างปลอดภัย 100%
แอนตี้ไวรัสพรีเมียมนั้นจะดีกว่ามาก เนื่องจากมันมาพร้อมกับการป้องกันภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตที่ครบครัน และเราก็ไม่พูดถึงเฉพาะแต่เรื่องของการป้องกันมัลแวร์เพียงอย่างเดียว — ส่วนเสริมอย่าง VPN (เพื่อช่วยให้คุณใช้งานบนโลกออนไลน์ได้อย่างไม่เปิดเผยตัวตน), เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน (เพื่อปกป้องข้อมูลละเอียดอ่อน เช่นข้อมูลทางการเงิน) และระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครอง (เพื่อช่วยปกป้องลูกของคุณบนอินเทอร์เน็ต) ทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ครบครัน
ทั้งหมดนี้ใช้งานร่วมกับตัวสแกนมัลแวร์ ต่างก็จะช่วยป้องกันภัยทางออนไลน์ไม่ว่าจะจากแฮ็กเกอร์ สแกมเมอร์ หรือสิ่งอื่น ๆ ก็ตาม — ยากมากที่แอนตี้ไวรัสฟรีจะมอบความคุ้มกันในระดับเดียวกันนี้ได้
แอนตี้ไวรัสชั้นนำอย่าง Norton นั้นยังมีการรับประกันสูงสุดถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับกรณีการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล (เฉพาะลูกค้าที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา) ทำให้มันมีความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายรายปีอันน้อยนิดเป็นอย่างสูง
ยิ่งไปกว่านั้น แอนตี้ไวรัสแบบจ่ายเงินนั้นยังมีฝ่ายให้บริการลูกค้าที่ดีกว่า ดังนั้นคุณก็จะมั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับความช่วยเหลือในการนำมัลแวร์ออก การเข้าถึงฟีเจอร์ หรือการแก้ปัญหาอื่น ๆ กับแอนตี้ไวรัสของคุณได้ตลอดเวลา แอนตี้ไวรัสฟรีนั้นจะไม่มีไลฟ์แชทหรือบริการสนับสนุนทางโทรศัพท์ ดังนั้นทางเดียวที่คุณจะได้รับความช่วยเหลือก็คือการอ่านฐานข้อมูล โพสต์คำถามบนเว็บบอร์ด หรือการส่ง ticket เท่านั้น
โดยรวมแล้ว ถ้าคุณต้องการการป้องกันอย่างครบวงจร คุณควรจะลองเลือกดูแอนตี้ไวรัสแบบจ่ายเงิน (ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็มีราคาไม่แพง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้กับคูปองและส่วนลดของเราแล้ว) คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอนตี้ไวรัสแบบจ่ายเงินสำหรับระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ได้ที่นี่
เคล็ดลับในการเพิ่มความปลอดภัยทางออนไลน์ในปี 2024
แอนตี้ไวรัสฟรีนั้นจะไม่สามารถปกป้องคุณจากความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างเต็มรูปแบบ — มันมักจะมีข้อจำกัดอยู่เสมอ ถึงแม้จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ฟรีที่ที่ดีที่สุดแล้ว แต่มันก็ยังขาดการป้องกันทางออนไลน์ที่สำคัญอยู่ดี ยกตัวอย่างเช่น TotalAV และ Malwarebytes นั้นจะไม่มีการป้องกันแบบเรียลไทม์ ในขณะที่ Panda กับ Kaspersky จะไม่มีการป้องกันเว็บไซต์
ผลิตภัณฑ์ฟรีนั้นมักจะไม่มีฟีเจอร์เสริมเพิ่ม หรือไม่ก็มีให้ใช้แค่เวอร์ชันพื้นฐานของฟีเจอร์พรีเมียม — แพลนระดับฟรีของ Bitdefender นั้นมีการป้องกันมัลแวร์และเว็บไซต์ที่ดีแต่อย่างอื่นนี่แทบจะไม่มี และแอนตี้ไวรัสฟรีของ Avira นั้นก็มี VPN ที่ดีแต่มันจำกัดให้ใช้งานได้แค่ 500 MB/เดือน ซึ่งก็ไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานท่องเว็บทั่วไปด้วยซ้ำ
หากคุณไม่ต้องการเสียเงินซื้อบริการแอนตี้ไวรัสพรีเมี่ยม บริการฟรีก็ใช้งานได้ดีเช่นกัน ตราบใดที่คุณปฏิบัติตามหลักปฏิบัติด้านความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ตอยู่เสมอ เช่น
- การอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ การอัปเดตซอฟต์แวร์นั้นมีความสำคัญเนื่องจากมันจะช่วยปิดช่องโหว่ของซอฟต์แวร์และเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น คุณควรจะอัปเดต ระบบปฏิบัติการ โปรแกรม และแอปของคุณทันทีที่มีให้อัปเดต — ถ้าคุณไม่อัปเดต แฮ็กเกอร์ก็อาจจะใช้ช่องโหว่ของซอฟต์แวร์เพื่อทำการติดตั้งมัลแวร์บนอุปกรณ์ของคุณ ขโมยข้อมูลอันละเอียดอ่อนของคุณ — หรืออาจจะทำทั้งสองอย่าง แอนตี้ไวรัสพรีเมียมอย่าง Avira นั้นมีตัวสแกนช่องโหว่ซึ่งจะปักธงกับซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้อัปเดต และก็จะทำการอัปเดตให้คุณได้ด้วย หรือคุณจะอัปเดตเองก็ได้เช่นกัน
- ดาวน์โหลดไฟล์อย่างรอบคอบ ดาวน์โหลดเฉพาะโปรแกรมหรือไฟล์จากเว็บไซต์ที่คุณเชื่อถือเท่านั้น และเปิดไฟล์แนบของอีเมลที่คุณแน่ใจว่าปลอดภัยเท่านั้น หากคุณไม่มั่นใจ 100% ว่าลิงก์ดาวน์โหลดมีความปลอดภัย คุณก็ไม่ควรคลิกมัน หากคุณได้รับอีเมลที่มีไฟล์แนบมาจากผู้ส่งที่คุณเชื่อใจ แต่คุณไม่คิดว่าเขาจะส่งมาให้ คุณควรจะติดต่อผู้ส่งก่อนเพื่อยืนยันว่าเขาตั้งใจส่งไฟล์แนบมาให้คุณจริง ๆ แอนตี้ไวรัสพรีเมียมนั้นมีการป้องกันแบบเรียลไทม์ซึ่งจะป้องกันไม่ให้คุณดาวน์โหลดไฟล์ที่น่าสงสัย แต่ถ้าคุณมีโปรแกรมฟรีที่ไม่มีการป้องกันแบบเรียลไทม์ คุณก็จะต้องระวังเรื่องไฟล์ที่ดาวน์โหลดเป็นพิเศษ — รวมถึงแหล่งที่ดาวน์โหลดด้วย
- ใช้เฉพาะเว็บไซต์ HTTPS เท่านั้น เว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS นั้นจะมีการเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดที่ส่งและรับระหว่างผู้ใช้งานกับเว็บไซต์ เว็บไซต์ที่ใช้งานการเชื่อมต่อ HTTP จะไม่ทำการเข้ารหัสข้อมูลใด ๆ หมายความว่าคนที่ดักข้อมูลที่คุณส่งและรับจากเว็บไซต์ ก็จะสามารถเปิดอ่านข้อมูลทั้งหมดนั้นได้ แบรนด์อย่าง Norton นั้นจะมีการป้องกันเว็บไซต์ที่ยอดเยี่ยมซึ่งจะมีการตรวจสอบความปลอดภัยของแต่ละเว็บไซต์ที่คุณเข้าดู และจะบล็อกไม่ให้คุณเข้าเว็บไซต์ที่อันตรายและน่าสงสัย
- อยู่ให้ห่างจากเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย หากคุณจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ก็ให้ใช้ VPN เพื่อทำการ scramble ข้อมูลของคุณก่อน มันจะได้ปกป้องคุณจากแฮ็กเกอร์ผู้ที่อาจจะพยายามขโมยข้อมูลของคุณ VPN ที่ดีที่สุดที่มีบันเดิลมากับแอนตี้ไวรัสนั้นจะเป็นของ TotalAV กับ Norton
- ใช้ VPN แม้ว่าคุณจะเชื่อมต่ออยู่กับเครือข่ายที่ปลอดภัยอยู่ก็ตาม VPN จะช่วยเพิ่มชั้นความปลอดภัยให้คุณด้วยการปกปิดการใช้งาน สิ่งนี้ดีต่อผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและยังทำให้อาชญากรและบริษัทต่าง ๆ ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลการใช้งานข้อมูลได้ VPN ส่วนใหญ่มาพร้อมกับข้อจำกัดจำนวนมาก แต่ก็มีบริการพรีเมี่ยมที่ยอดเยี่ยมเลือกไม่น้อยเช่นกัน
- สร้างรหัสผ่านที่มีความปลอดภัยสำหรับบัญชีออนไลน์ของคุณ แทนที่จะใช้ล็อกอินเดียวกันสำหรับทุกเว็บไซต์ คุณควรจะสร้างรหัสที่มีความซ้ำซ้อนและไม่ซ้ำกันสำหรับแต่ละบัญชีออนไลน์ คุณสามารถดูคำแนะนำเกี่ยวกับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดของเราได้ที่นี่
แอนตี้ไวรัสฟรี รายไหนที่คุณควรจะหลีกเลี่ยง?
- Wolfram Antivirus รายนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นสแกม มันเป็นรูปแบบล่าสุดของซอฟต์แวร์ที่เป็นที่รู้จักซึ่งปลอมตัวเป็นแอนตี้ไวรัสฟรี นอกจากมันจะพยายามทำให้คุณติดมัลแวร์แล้ว มันยังพยายามจะทำให้คุณจ่ายเงินเพื่อรับสิทธิ์พิเศษด้วย
- Total Antivirus 2020 Total Antivirus 2020 นั้นไม่มีประสิทธิภาพ และก็อาจจะเป็นอันตรายต่อ PC ของคุณด้วย มันไม่ปลอดภัย และก็ใช้วิธีการสร้างความกลัวรวมถึงวิธีการอื่น ๆ ในการโน้มน้าวให้ผู้ใช้งานยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อเวอร์ชัน “พรีเมียม”
- Spybot Search & Destroy ในอดีตเราเคยชอบ Spybot Search & Destroy มาก ๆ แต่ตอนนี้มันไม่ดีเหมือนก่อนแล้ว มันเป็นเหมือนวัตถุโบราณจากโลกในอดีต อย่างแรกเลย อัตราการตรวจจับมัลแวร์ของมันนั้นแย่มาก ๆ ในปี 2024 ยิ่งไปกว่านั้น อินเทอร์เฟซของมันก็ดูซับซ้อน และติดตั้งยากเนื่องจากฟีเจอร์ส่วนใหญ่นั้นกระจัดกระจายอยู่ในหลายแอป
- ClamAV ถึงแม้ว่ามันจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้งาน Linux แต่เราก็ไม่แนะนำ ClamAV สำหรับคนที่ใช้ Windows PC ฟีเจอร์ของมันมีน้อย และก็ใช้งานยาก นี่อาจจะเป็นปัญหาที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากตัวเลือกการสนับสนุนสำหรับผู้ใช้งาน Windows นั้นค่อนข้างจำกัด
โปรดทราบว่ายังมี แอนตี้ไวรัสฟรี คุณภาพแย่ตัวอื่น ๆ อีกมากมาย บางตัวนั้นจะไม่มีประสิทธิภาพ ส่วนบางตัวก็แค่น่ารำคาญเพราะว่ามันจะยิงโฆษณาและข้อความปลอมใส่คุณ ในขณะที่ตัวที่แย่ที่สุดนั้นจะเอาคำว่า “แอนตี้” ออกจากคำว่า “แอนตี้ไวรัส” หรือก็คือคุณจะต้องเจอกับไวรัสนั่นเอง เพียงแค่เพราะว่าผลิตภัณฑ์บางรายไม่ได้อยู่ในรายการของ แอนตี้ไวรัสฟรี ที่ควรหลีกเลี่ยง ไม่ได้หมายความว่ามันจะใช้งานได้ดี ขอแนะนำให้คุณทำการค้นคว้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ก่อนทุกครั้งด้วยการอ่านรีวิวบนเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ ถ้ามันแทบจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับแอนตี้ไวรัสนั้น ๆ ทางออนไลน์เลย มันก็อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี และคุณควรจะหลีกเลี่ยงการใช้งานมัน
แบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ ที่ไม่ติดอันดับ:
คุณอาจจะรู้สึกประหลาดใจที่เห็นแบรนด์แอนตี้ไวรัสชั้นนำบางรายไม่ติด 10 อันดับแรก นี่เป็นบางรายที่เราอยากจะกล่าวถึง:
- McAfee McAfee นั้นเป็นหนึ่งในแอนตี้ไวรัสที่เราชื่นชอบในปี 2024 มันมาพร้อมกับเอนจินป้องกันมัลแวร์ขั้นสูง การป้องกันเว็บไซต์ที่ดีเยี่ยม และ VPN ที่มีข้อมูลให้ใช้งานได้ไม่จำกัด แต่น่าเสียดายที่ McAfee ไม่มีแพลนระดับฟรี อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณต้องการแอนตี้ไวรัสคุณภาพสูง แพ็กเกจเครื่องมือป้องกันภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตของ McAfee นั้นก็มีราคาไม่แพงและก็ทำงานได้ดีที่สุดตัวหนึ่ง
- ESET ESET นั้นเป็นแอนตี้ไวรัสที่ใช้ทรัพยากรน้อยและมีอัตราการตรวจจับที่ดีเยี่ยมซึ่งมาพร้อมกับเครื่องมือวินิจฉัยขั้นสูง อย่างไรก็ตาม มันไม่มีแพลนระดับฟรี และบางฟีเจอร์ของมันก็อธิบายได้ไม่ชัดเจนและ/หรือใช้งานไม่สะดวก
- Sophos Sophos นั้นเคยมีแพลนระดับฟรีที่ใช้งานได้ดี แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว ดังนั้นเราจึงต้องนำมันออกจากรายการของเรา ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่เวอร์ชันแบบจ่ายเงินของ Sophos นั้นก็มีการป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ดีในราคาที่ไม่เลว
คำถามพบบ่อย
แอนตี้ไวรัสฟรีมีเจตนาแอบแฝงอย่างไร?
แอนตี้ไวรัสที่ฟรีอย่างเต็มรูปแบบนั้นไม่มีอยู่จริง เพราะยังไงคุณก็จะต้อง “จ่าย” ด้วยอะไรสักอย่าง บริษัทแอนตี้ไวรัสส่วนใหญ่นั้นจะจำกัดการใช้งานเวอร์ชันฟรีไว้ให้สามารถป้องกันได้แค่ขั้นพื้นฐาน นี่ทำให้มีช่องโหว่มากมายในการป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์บนคอมพิวเตอร์ของคุณ บริษัทแอนตี้ไวรัสนั้นคาดหวังว่าคุณจะรู้ตัวว่าคุณไม่ได้รับการป้องกันที่ดีพอ และพวกเขาก็จะพยายามทำให้คุณอัปเกรดไปใช้งานแพลนจ่ายเงินด้วยการส่งการแจ้งเตือนและโฆษณาให้คุณดูอย่างไม่หยุด
หากคุณใช้งานอุปกรณ์แค่เพื่อท่องเว็บอย่างง่ายหรือเพื่อพิมพ์เอกสาร การใช้แอนตี้ไวรัสฟรีนั้นก็เพียงพอแล้ว (และตัวเลือกในรายการนี้ก็เป็นแอนตี้ไวรัสฟรีที่ดีที่สุด) แต่โดยทั่วไป ถ้าคุณเก็บข้อมูลละเอียดอ่อนไว้ในอุปกรณ์ Windows ของคุณ มันก็จะดีกว่าถ้าคุณลงทุนเลือกใช้ ชุดเครื่องมือป้องกันภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มรูปแบบแทนที่จะใช้แอนตี้ไวรัสฟรี
ทำไมฉันถึงควรใช้แอนตี้ไวรัสฟรีตัวอื่นแทนที่จะใช้ Windows Defender?
Windows Defender นั้นก็เป็นแอนตี้ไวรัสที่ไม่เลว — มันได้คะแนนสูงกว่าแอนตี้ไวรัสบุคคลที่สามฟรีตัวอื่น ๆ อยู่หลายตัว แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับบริษัทความปลอดภัยทางไซเบอร์ชั้นนำอย่าง Bitdefender ซึ่งเปิดให้บริการแอนตี้ไวรัสฟรีที่สามารถป้องกันภัยอันตรายที่ Windows Defender ป้องกันไม่ได้ (อย่างเช่นเว็บไซต์ฟิชชิง, ตัวติดตามเว็บไซต์อันตราย, การรั่วไหลของข้อมูล และอื่น ๆ)
แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ในรายการนี้นั้นมีการป้องกันแอนตี้ไวรัสที่ดีกว่า Windows Defender ที่ถูกบิ้วท์อินมาของ Microsoft
Windows Defender กับแอนตี้ไวรัสตัวอื่นสามารถใช้งานร่วมกันได้หรือไม่?
ทางเทคนิคแล้วทำได้ คุณสามารถใช้ Windows Defender กับแอนตี้ไวรัสตัวอื่นไปพร้อมกันได้ แต่การมีเอนจินป้องกันมัลแวร์สองตัวทำงานพร้อมกันนั้นจะก่อให้เกิดความขัดแย้ง หมายความว่ามัลแวร์และภัยอันตรายอื่น ๆ อาจจะหลุดเข้ามาโดยไม่ถูกตรวจพบก็เป็นได้
เพราะแบบนั้นเราจึงแนะนำอย่างยิ่งให้ผู้ใช้งาน Windows ทำการปิดเอนจินแอนตี้ไวรัสของ Windows Defender หลังจากที่ได้ทำการติดตั้งแอนตี้ไวรัสบุคคลที่สามอย่าง Norton 360 แล้ว
การใช้แอนตี้ไวรัสฟรีนั้นปลอดภัยหรือไม่?
ปลอดภัย ถ้าคุณเลือกใช้แอนตี้ไวรัสจากบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ แบรนด์ทั้งหมดในรายการนี้นั้นสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย — ข้อแตกต่างเดียวระหว่างเวอร์ชันฟรีและจ่ายเงินก็คือซอฟต์แวร์แบบจ่ายเงินนั้นจะมีฟีเจอร์เสริมเพิ่มเติมอย่างเช่น VPN, เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน และระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครอง รวมถึงมีบริการสนับสนุนลูกค้าที่ดีกว่า
แอนตี้ไวรัสฟรีตัวไหนดีที่สุด?
แอนตี้ไวรัสฟรีทุกแบรนด์ต่างก็มีข้อจำกัด และก็มักจะทำการล็อกฟีเจอร์ที่ดีที่สุดเอาไว้สำหรับลูกค้าที่จ่ายเงิน ถึงแม้ว่าแอนตี้ไวรัสฟรีนั้นจะเป็นทางออกชั่วคราวที่ไม่เลวนัก เราก็ยังอยากแนะนำให้คุณเลือกใช้แอนตี้ไวรัสระดับพรีเมียมอย่าง Norton มากกว่า มันมีอัตราการตรวจจับมัลแวร์ที่ยอดเยี่ยม มีส่วนเสริมให้ใช้งานมากกว่าคู่แข่งทั้งหมด และก็มีแอปที่ใช้งานง่ายสำหรับทุกระบบปฏิบัติการ ราคาเริ่มต้นที่ US$29.99 / ปี* Norton นั้นมีราคาย่อมเยามาก ๆ และแพลนแบบจ่ายเงินทั้งหมดของมันก็มีการรับประกันคืนเงินอย่างไม่มีความเสี่ยงเป็นเวลาถึง 60 วัน — นี่จะทำให้คุณทดลองใช้งานมันได้นานถึง 2 เดือนเพื่อดูว่ามันใช่สิ่งที่คุณต้องการหรือไม่
แต่ถ้าคุณไม่ต้องการจะจ่ายเงินใด ๆ ทั้งสิ้นสำหรับการป้องกันของแอนตี้ไวรัส เราก็แนะนำให้คุณเลือกดู Bitdefender แทนซึ่งมันจะมีตัวสแกนมัลแวร์บนคลาวด์ รวมถึงการป้องกันเว็บไซต์และการป้องกันแบบเรียลไทม์ด้วย
มีแอนตี้ไวรัสที่ฟรี 100% บ้างหรือไม่?
มี แอนตี้ไวรัสที่ฟรี 100% นั้นมีเปิดให้บริการอยู่ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าแอนตี้ไวรัสฟรีที่มีคุณภาพนั้นจะช่วยป้องกันไวรัสอย่างเต็มรูปแบบ แต่มันก็มักจะขาดฟีเจอร์ที่มักจะมีในแอนตี้ไวรัสพรีเมียมซึ่งมีไว้ใช้ปกป้อง PC และข้อมูลส่วนตัวของคุณอย่างเต็มรูปแบบเช่นการป้องกันการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล, VPN, เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน และอื่น ๆ
แน่นอนว่าแอนตี้ไวรัสฟรีชั้นนำอย่าง Bitdefender นั้นจะมาพร้อมกับตัวสแกนมัลแวร์และการป้องกันแบบเรียลไทม์ที่มีคุณภาพ ซึ่งก็อาจจะดีพอสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการการป้องกันขั้นพื้นฐาน แต่ถ้าคุณต้องการให้แน่ใจว่า PC และข้อมูลของคุณนั้นจะได้รับการป้องกันที่ดีที่สุด คุณควรจะลงทุนเลือกใช้ชุดแอนตี้ไวรัสพรีเมียม
แอนตี้ไวรัสพรีเมียมชั้นนำส่วนใหญ่นั้นจะมีการรับประกันคืนเงินระยะยาว หมายความว่าคุณสามารถทดลองใช้งานมันได้ก่อนที่คุณจะผูกมัดกับแพลนระดับพรีเมียมนั้น ๆ
แอนตี้ไวรัสฟรีนั้นดีพอหรือไม่?
มันขึ้นกับความต้องการของคุณ ในกรณีส่วนใหญ่แล้ว แอนตี้ไวรัสฟรีที่มีความน่าเชื่อถือนั้นจะสามารถปกป้อง PC ของคุณจากมัลแวร์และภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ ได้ดีพอ
อย่างไรก็ตาม นอกจากเครื่องมือสำคัญอย่างเช่นการป้องกันมัลแวร์แล้ว แอนตี้ไวรัสฟรีก็มักจะไม่ค่อยมีอะไรอย่างอื่นให้เลย หรือก็คือแอนตี้ไวรัสฟรีระดับชั้นนำส่วนใหญ่นั้นจะมาพร้อมกับความสามารถในการสแกนมัลแวร์ รวมถึงการสแกนตรวจจับมัลแวร์แบบเรียลไทม์ที่ดีมาก แต่มันมักจะขาดฟีเจอร์เสริมอย่างการป้องกันการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล การป้องกันเว็บไซต์ขั้นสูง และอื่น ๆ
หากคุณต้องการการป้องกัน PC และข้อมูลส่วนตัวอย่างเต็มรูปแบบ มันก็จะดีกว่าถ้าคุณลองใช้งานชุดแอนตี้ไวรัสพรีเมียมอย่าง Norton ถ้าคุณต้องการแค่การป้องกันมัลแวร์ขั้นพื้นฐาน แอนตี้ไวรัสฟรีดี ๆ สักตัวก็จะทำงานได้ดีพอสำหรับคุณแล้ว
ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสสามารถหยุดแฮ็กเกอร์ได้หรือไม่?
ได้ แอนตี้ไวรัสที่มีคุณภาพนั้นจะป้องกันแฮ็กเกอร์ได้เป็นอย่างดี ฟีเจอร์อย่างเช่นการป้องกันเว็บไซต์ ไฟร์วอลล์ และการป้องกันแบบเรียลไทม์จะสามารถป้องกันอาชญากรไซเบอร์ไม่ให้มาทำให้เครื่องของคุณติดไวรัสและขโมยข้อมูลของคุณได้ แอนตี้ไวรัสนั้นยังจะมาพร้อมกับตัวสแกนซึ่งจะสามารถนำเอามัลแวร์ที่ติดอยู่ในระบบของคุณออกได้ด้วย ซึ่งตัวสแกนของ Norton ก็สามารถตรวจจับตัวอย่างมัลแวร์ในการทดสอบของเราได้ถึง 100%
แต่ก็ต้องเข้าใจไว้ว่าถึงแม้คุณจะใช้แอนตี้ไวรัสที่ดีที่สุดแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าแฮ็กเกอร์จะไม่สามารถแฮ็กคอมพิวเตอร์ของคุณได้ ผู้ประสงค์ร้ายนั้นสามารถใช้วิธีวิศวกรรมสังคมและกลยุทธ์อื่น ๆ เพื่อที่จะหาวิธีเข้ามาสร้างความเสียหายในระบบของคุณได้ เพราะแบบนั้นมันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องทำการท่องเว็บอย่างปลอดภัยอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยการหลีกเลี่ยงเว็บไซต์น่าสงสัยและไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลออกไป
ไวรัสชนิดไหนที่ส่งผลต่อคอมพิวเตอร์ Windows บ่อยที่สุด?
คอมพิวเตอร์ Windows นั้นจะเจอกับโทรจันและแอดแวร์บ่อยที่สุด — แต่จริง ๆ แล้วก็มีการโจมตีของมัลแวร์นับพันล้านครั้งที่ถูกรายงานในแต่ละปี
โทรจันนั้นจะดูเหมือนไฟล์อื่น ๆ ที่มีนามสกุล .exe และ .doc — แต่หลังจากที่ดาวน์โหลดมาแล้ว โทรจันก็จะทำการโจมตีผ่านประตูหลังเพื่อขโมยข้อมูลของผู้ใช้งาน เพื่อทำให้อุปกรณ์ Windows กลายเป็น botnet เพื่อทำให้แฮ็กเกอร์สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง หรือเพียงเพื่อจะทำให้ OS ล่มและลบทิ้งทั้งหมด
เนื่องจากแฮ็กเกอร์จะมีการพัฒนามัลแวร์สำหรับ Windows ออกมาใหม่อยู่เสมอ มันจึงมีความสำคัญมากที่คุณควรจะเลือกใช้ฐานข้อมูลมัลแวร์ที่มีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ ฐานข้อมูลมัลแวร์ของ Norton นั้นมีความเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ผู้ใช้งานไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการดาวน์โหลดหรือติดตั้งอัปเดตใหม่เลย
อุปกรณ์ Windows 11 ต้องใช้แอนตี้ไวรัสจริง ๆ หรอ?
ใช่ ต้องใช้! ถึงแม้ว่า Windows 11 จะมาพร้อมกับ Windows Defender อยู่แล้ว แต่คุณก็ไม่ควรใช้มันเป็นการป้องกันเพียงชั้นเดียว การหวังพึ่ง Windows Defender อย่างเดียวจะทำให้คุณเปราะบางต่อภัยอันตรายไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนอย่างเช่นการโจมตีแบบ zero-day, แรนซัมแวร์ และการสแกมฟิชชิงแบบระบุเป้าหมาย
เราแนะนำให้เลือกใช้แอนตี้ไวรัสบุคคลที่สามที่มีคุณภาพสำหรับ Windows 11 PC ซึ่งมีการป้องกันหลายชั้น เช่นการป้องกันเรียลไทม์ และการป้องกันการฟิชชิง ถ้าจะให้ดีที่สุด คุณควรเลือกแพลนพรีเมียมอย่าง Norton เพื่อที่จะปกป้องคุณอย่างเต็มรูปแบบ แต่ผลิตภัณฑ์ฟรีในรายการของเราก็สามารถทำงานได้ดีกว่า Windows Defender แล้ว
แอนตี้ไวรัสตัวไหนที่ดีที่สุดในภาพรวมสำหรับ Windows?
แอนตี้ไวรัส Windows ที่เราชื่นชอบนั้นเป็นแอนตี้ไวรัสที่ดีที่สุดในภาพรวม ซึ่งก็คือ Norton ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีแพลนระดับฟรี แต่มันก็มีการป้องกันมัลแวร์ที่ดีเยี่ยม และมันก็มีฟีเจอร์เสริมให้ใช้งานมากมายสำหรับผู้ใช้งาน Windows ทำให้มันคุ้มค่ากับทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป
แพลน Norton 360 Deluxe จะเปิดให้คุณใช้งาน VPN แบบที่ไม่จำกัดข้อมูล มีระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครองที่ดีมาก และก็มีการเฝ้าระวัง dark web ที่ดีที่สุด รวมถึงมีพื้นที่จัดเก็บบนคลาวด์ที่ปลอดภัย และอีกมากมาย แถมคุณยังสามารถใช้งานมันได้สำหรับทุกอุปกรณ์อีกด้วย เนื่องจากมันรองรับ Android, iOS และ Mac ด้วย ที่ดีที่สุดก็คือมันมีการรับประกันคืนเงินถึง 60 วัน หมายความว่าคุณจะสามารถใช้งานอย่างไม่มีความเสี่ยงได้เป็นเวลา 2 เดือน
Windows จะยอมให้ฉันติดตั้งแอนตี้ไวรัสฟรีหรือไม่?
แน่นอน! Windows จะทำการติดตัวป้องกันไวรัสแบบบิ้วท์อินโดยอัตโนมัติตอนที่มีแอนตี้ไวรัสบุคคลที่สามถูกติดตั้งมาใหม่ ถ้าคุณตัดสินใจถอนการติดตั้งแอนตี้ไวรัสบุคคลที่สามแล้ว PC ของคุณก็จะขอให้คุณกลับไปเปิดใช้งานแอนตี้ไวรัส Windows Defender โดยอัตโนมัติ
ถ้าคุณคิดจะแทนที่ Defender จริง ๆ คุณก็น่าจะลองลงทุนใช้งานการป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับพรีเมียมดู แอนตี้ไวรัสฟรีนั้นไม่ดีเท่ากับแอนตี้ไวรัสแบบจ่ายเงิน — คุณจะได้รับบริการเท่ากับที่คุณจ่ายไปจริง ๆ และเมื่อพูดถึงการเก็บข้อมูลในอุปกรณ์และดิจิทัลทั้งหมดของคุณให้ปลอดภัย แอนตี้ไวรัสแบบจ่ายเงินอย่าง Norton 360 นั้นก็คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
หากคุณกำลังมองหาการป้องกันขั้นสูงและฟีเจอร์ความปลอดภัยทางไซเบอร์อื่น ๆ คุณสามารถเลือกดูได้จาก ผลิตภัณฑ์แอนตี้ไวรัสพรีเมียมที่ดีที่สุด
เครื่องมือทำความสะอาด PC ต่างกับแอนตี้ไวรัสอย่างไร?
เครื่องมือทำความสะอาด PC กับแอนตี้ไวรัสนั้นจะทำหน้าที่แตกต่างกันแต่มีวัตถุประสงค์เหมือนกัน โปรแกรมแอนตี้ไวรัสนั้นจะเน้น ตรวจจับ, กักกัน และนำมัลแวร์, ไวรัส รวมถึงภัยอันตรายทางไซเบอร์รูปแบบอื่น ๆ ออก เพื่อช่วยปกป้องระบบของคุณจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ในอีกแง่มุมหนึ่ง เครื่องมือทำความสะอาด PC นั้นจะถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับคอมพิวเตอร์ของคุณด้วยการทำความสะอาดไฟล์ที่ไม่จำเป็น, แก้ไขข้อผิดพลาด registry และจัดการกับโปรแกรมสตาร์ทอัพ สรุปได้ว่าแอนตี้ไวรัสจะคอยปกป้อง PC ของคุณจากภัยอันตรายภายนอก ในขณะที่เครื่องมือทำความสะอาดจะช่วยทำให้ระบบของคุณทำงานได้อย่างราบรื่นและมีอายุที่ยาวนานขึ้นด้วยการบำรุงรักษาภายใน
ฉันสามารถใช้ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสฟรีสำหรับธุรกิจของฉันได้หรือไม่
ถึงแม้ว่าทางเทคนิคแล้วคุณจะสามารถใช้ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสฟรีสำหรับธุรกิจของคุณได้ แต่เราไม่แนะนำ แอนตี้ไวรัสฟรีนั้นมักจะมาพร้อมกับข้อจำกัดต่าง ๆ มากมาย อย่างเช่นการที่มันมักจะไม่มีการป้องกันแบบเรียลไทม์, ไม่มีฝ่ายให้บริการลูกค้า ซึ่งก็เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ สำหรับสภาพแวดล้อมของการทำธุรกิจ แอนตี้ไวรัสพรีเมียมสำหรับธุรกิจอย่าง Bitdefender จะมีการป้องกันที่ครอบคลุมกว่า, มีระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ และมีฝ่ายบริการลูกค้าโดยเฉพาะเพื่อให้แน่ใจว่าเครือข่ายแบบระบบในธุรกิจของคุณจะทำงานได้อย่างปลอดภัยและราบรื่น
ฉันสามารถติดไวรัสจากการเปิดอีเมลได้หรือไม่?
อาชญากรไซเบอร์มักจะใช้อีเมลฟิชชิงเพื่อแพร่กระจายมัลแวร์ อย่างไรก็ตาม การเปิดอีเมลเพียงอย่างเดียวนั้นมักจะไม่ทำให้คุณติดมัลแวร์ในทันที — มันมักจะเริ่มทำงานหลังจากที่คุณดาวน์โหลดไฟล์แนบที่ติดไวรัสหรือคลิกลิงก์ที่มุ่งร้ายภายในอีเมล การเลือกใช้โซลูชันแอนตี้ไวรัสที่มีชื่อเสียงอย่าง Norton 360 และ การเพิ่มความระมัดระวังสำหรับอีเมลจากแหล่งที่มาที่ไม่รู้จักหรือมีความน่าสงสัย จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดไวรัสได้