
อัพเดท: 1 มิถุนายน 2023

มีเวลาไม่พออ่านรีวิวทั้งหมดใช่ไหมล่ะ นี่คือรายการเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ 2023:
- 🥇 1Password (ตัวเลือกอันดับ \#1 ในปี 2023): การรักษาความปลอดภัยที่ไม่สามารถเจาะผ่านได้ ฟีเจอร์พิเศษที่มีประโยชน์มากมายและแอปที่ใช้งานง่ายสำหรับแพลตฟอร์มและอุปกรณ์ทั้งหมด มีแผนราคาประหยัดสำหรับทั้งผู้ใช้รายบุคคลและครอบครัวและสามารถทดลองใช้งานฟรี 14 วัน
ฉันทดสอบเครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับชั้นนำกว่า 54 บริการเพื่อค้นหาบริการที่ดีที่สุดใน 2023 ในที่สุดฉันก็สามารถสรุปบริการ 10 อันดับที่ใช้งานได้ง่ายที่สุดในการสร้าง, จัดเก็บ, กรอกอัตโนมัติและจัดการรหัสผ่าน และบริการทั้งหมดนั้นมีให้บริการฟรีหรือมีราคาถูกมาก (โดยเฉพาะเมื่อใช้กับคูปองพิเศษของเรา)
แม้ว่าจะมีเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานไม่ได้ผล ซับซ้อนเกินไปและแพงเกินไปอยู่มากมาย แต่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านในรายการนี้มีความปลอดภัยระดับชั้นนำ ใช้งานง่ายอย่างเหลือเชื่อ และมีฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมมากมายในราคาที่ไม่แพง
ฉันเปรียบเทียบเครื่องมือจัดการรหัสผ่านชั้นนำในตลาดและจัดอันดับตามความปลอดภัยในการใช้งาน ฟีเจอร์เพิ่มเติมและความคุ้มค่าโดยรวมเพื่อค้นหาเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ 2023
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดใน 2023:
- 1.🥇 1Password — ความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง ฟีเจอร์มากมายและแอปที่ใช้งานง่าย | ไม่มีอินเตอร์เฟสภาษาไทย
- 2.🥈 Dashlane — ความปลอดภัยระดับสูง พร้อมฟีเจอร์เพ่มเติมอย่าง VPN และการตรวจสอบดาร์กเว็บ
- 3.🥉 RoboForm — การรักษาความปลอดภัยที่ดี ความสามารถในการกรอกแบบฟอร์มที่มีประสิทธิภาพและแผนบริการราคาต่ำ
- 4. Keeper — เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง แอปที่ใช้งานง่ายและการกำหนดราคาที่ยืดหยุ่น
- 5. LastPass — มีแผนบริการฟรีที่คุณภาพดี การรักษาความปลอดภัยขั้นสูงมีให้ในแผนบริการแบบมีค่าใช้จ่าย | ไม่รอบรับภาษาไทย
- อันดับที่ 6-10 คือเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดใน 2023
- ตารางเปรียบเทียบเครื่องมือระดับชั้นนำทั้งหมด
🥇1. 1Password — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดโดยรวม (มีฟีเจอร์ครบถ้วน ใช้งานง่าย & ราคาไม่แพง)

1Password เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดในปี 2023 มันมีความปลอดภัยสูง มีฟีเจอร์หลากหลายและใช้งานได้ง่ายมาก โดยมีแผนราคาถูกสำหรับทั้งผู้ใช้รายบุคคลและครอบครัว
ปกป้องข้อมูลผู้ใช้ด้วยการเข้ารหัส AES 256-bit ที่ไม่สามารถเจาะถึงได้ ซึ่งเป็นการเข้ารหัสประเภทเดียวกับที่ธนาคารและกองทัพทั่วโลกใช้ นอกจากนี้ยังไม่บันทึกหรือเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ ซึ่งหมายความว่าไม่มีใครอื่นนอกจากคุณที่จะสามารถเข้าถึงที่เก็บรหัสผ่านหรือเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของคุณได้
1Password ยังมีฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมมากมายที่จะทำให้มั่นใจว่ารหัสผ่านของคุณปลอดภัย 100% รวมไปถึง:
- 2FA ซิงค์กับแอปรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว เช่น Authy, คีย์ USB เช่น YubiKey และ Fido และสแกนไบโอเมตริก (ใบหน้า ลายนิ้วมือและดวงตา) สำหรับ Windows, Android และ iOS 1Password ยังมีเครื่องมือ 2FA ในตัวอีกด้วย
- Watchtower สแกนดาร์กเว็บและฐานข้อมูลสาธารณะเพื่อหารหัสผ่านและข้อมูลทางการเงินที่ละเมิดของคุณ ตรวจสอบรหัสผ่านของคุณเพื่อความปลอดภัยและสร้างรหัสผ่านที่มีความแข็งแกร่ง
- โหมดเดินทาง ซ่อนรหัสผ่านที่ละเอียดอ่อนจากที่เก็บรหัสผ่านเพื่อไม่ให้ถูกตรวจค้นได้เมื่อเดินทางไปยังประเทศอื่น
- ตัวเลือกการจัดเก็บข้อมูลในอุปกรณ์ ซิงค์คอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ Android หรือ iOS ผ่านเครือข่ายไร้สายในพื้นที่โดยใช้เซิร์ฟเวอร์ WLAN
- บัตรส่วนตัว บัตรชำระเงินเสมือนสำหรับปิดบังหมายเลขบัตรเดบิตจริงของคุณเมื่อทำการสั่งซื้อออนไลน์ (ให้บริการสำหรับผู้ใช้ในอเมริกาเท่านั้น)
เครื่องมือมาตรฐานและเครื่องมือขั้นสูงทั้งหมดของ 1Password ใช้งานได้อย่างดีเยี่ยมในการทดสอบทั้งหมดของฉัน ฉันไม่มีปัญหาในการสร้างรหัสผ่านใหม่ บันทึกรหัสผ่านและป้อนข้อมูลอัตโนมัติและฉันยังพบว่าวิเคราะห์ที่เก็บรหัสผ่าน ตั้งค่าโหมดเดินทางและซิงค์ 1Password กับแอปตรวจสอบบุคคลที่สามทำได้ง่ายมากอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นอินเทอร์เฟซของ 1Password ยังสว่าง เรียบง่ายและใช้งานได้ง่ายมาก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ขั้นสูงและผู้ใช้ระดับเริ่มต้น
1Password มีแผนสำหรับครอบครัวที่ดีมาก คุณสามารถเพิ่มผู้ใช้ได้มากถึง 5 คนและสามารถเพิ่มผู้ใช้ได้ไม่จำกัด แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนิดหน่อย ซึ่งมันดีกว่าคู่แข่งมาก แม้แต่คู่แข่งชั้นนำอย่าง Dashlane ก็ยังมีข้อจำกัดผู้ใช้ และฟังก์ชั่นการแบ่งปันที่เก็บข้อมูลที่ใช้งานง่ายของ 1Password ทำให้ง่ายต่อการแบ่งปันรหัสผ่านระหว่างสมาชิกในครอบครัวในขณะที่ยังรักษาบัญชีส่วนตัวให้เป็นส่วนตัว (มีที่เก็บรหัสผ่านแยกกันสองส่วน ที่เก็บรหัสผ่านที่ “แบ่งปัน” ให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ และที่เก็บรหัสผ่าน “ส่วนตัว”)
1Password ไม่ได้นำเสนอบริการฟรี แต่แผนส่วนตัว ครอบครัวและธุรกิจ มีฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมมากมายในราคาถูกกว่าแบรนด์คู่แข่ง 1Password มีราคาเริ่มต้นที่ US$2.99 / เดือนและนำเสนอการรับประกันคืนเงิน 14 วัน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าบริการของ 1Password เหมาะสำหรับคุณหรือเปล่า
สรุป:
1Password เป็นโปรแกรมจัดการรหัสผ่านที่มีความปลอดภัยและอิงสัญชาตญาณ ที่มาพร้อมหน้าจออินเทอร์เฟสที่ใช้งานง่ายและคุณสมบัติเด่นเป็นประโยชน์นานับประการ บริการมาพร้อมกับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่มากกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ รวมถึงการสแกนดาร์กเว็บ การเข้าสู่ระบบไบโอเมตริกซ์ การซ่อนที่เก็บรหัสผ่าน บัตรชำระเงินเสมือนจริง ที่เก็บข้อมูลในเครื่องและเครื่องมือยืนยันตัวตนในตัว และฟีเจอร์ทั้งหมดนั้นง่ายต่อการเข้าถึง ทำความเข้าใจและใช้งาน นอกเหนือจากการนำเสนอแผนส่วนบุคคลที่คุ้มค่าที่สุดแผนหนึ่งแล้ว 1Password ยังมีหนึ่งในแผนครอบครัวที่ดีที่สุดในแง่ของการใช้งานและมูลค่าโดยรวม และคุณสามารถเพิ่มผู้ใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนภายใต้บัญชีเดียวโดยมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย (ไม่มีบริการอื่นนำเสนอ) 1Password นำเสนอการทดลองใช้ฟรี 14 วันสำหรับแผนทั้งหมด
อ่านรีวิวตัวเต็มของ 1Password >
🥈2. Dashlane — ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมที่ดีที่สุด

Dashlane มีความปลอดภัยสูง ใช้งานง่ายมากและมีฟีเจอร์โดดเด่นมากมายที่แบรนด์อื่นไม่มี
ในระหว่างการทดสอบของฉัน Dashlane ใช้งานได้ดีมากในทุกด้าน แอปบนเว็บ ส่วนขยายเบราว์เซอร์สำหรับ Firefox และ Chrome และแอปมือถือทั้งหมดสามารถมอบประสบการณ์การจัดการรหัสผ่านที่ราบรื่นและน่าเชื่อถือให้กับฉันได้และฉันไม่พบปัญหาใด ๆ ในการสร้างรหัสผ่าน การซิงค์ ข้อมูลในอุปกรณ์ทั้งหมดของฉัน รวมถึงการกรอกแบบฟอร์มอัตโนมัติทั้งแบบพื้นฐานและขั้นสูง
Dashlane มาพร้อมกับ:
- การเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติ
- VPN (ไม่จำกัดข้อมูล)
- การควบคุมดาร์กเว็บ
- การแบ่งปันรหัสผ่าน
- การตรวจสอบความแข็งแกร่งของอุปกรณ์
- การเข้าถึงอัตโนมัติ
- ที่จัดเก็บไฟล์ที่ปลอดภัย (1 GB)
- และอื่น ๆ
ฟีเจอร์ทั้งหมดของ Dashlane นั้นเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันชอบระบบเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติของ Dashlane มากเลย – มันจะทำการตรวจสอบคลังรหัสของคุณ และก็เปลี่ยนรหัสผ่านที่อ่อนแอให้กลายเป็นรหัสผ่านที่มีความแข็งแกร่งไม่สามารถแฮ็กได้สำหรับหลายร้อยเว็บไซต์
Dashlane เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านเพียงบริการเดียวในรายการนี้ที่มาพร้อมกับเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) — มันปลอดภัย รวดเร็วและสามารถเข้าถึงเว็บไซต์สตรีมมิ่งยอดนิยมได้ ในการทดสอบของฉัน VPN ของ Dashlane นั้นเร็วกว่า VPN แบบสแตนด์อโลนบางบริการ ซึ่งช่วยให้ฉันสามารถใช้งาน สตรีมวิดีโอและเล่นเกมได้อย่างต่อเนื่อง
Dashlane มีแพลนฟรีที่ใช้งานได้ดี ถึงแม้ว่าจะเปิดให้เก็บรหัสผ่านได้แค่ 50 รหัสต่อ 1 เครื่อง แต่มันก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ดีกว่าที่ผู้ให้บริการรายอื่นมอบให้ในแพ็กเกจระดับพรีเมียมของพวกเขาเสียอีก มันมีระบบบันทึกรหัสผ่านอัตโนมัติ และกรอกอัตโนมัติ พร้อมระบบการตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน รวมถึงระบบแชร์รหัสผ่านด้วย (แต่จะแชร์ได้แค่ 5 บัญชีเท่านั้น) เครื่องมือจัดการรหัสผ่านฟรีส่วนใหญ่แล้วมักจะมีข้อจำกัดหลายอย่าง แต่ถ้าคุณไม่อยากต้องจ่ายเงินเพื่อใช้งานผลิตภัณฑ์แบบพรีเมียม Dashlane ฟรี ก็เป็นตัวเลือกที่ถือว่าใช้ได้
Dashlane นำเสนอแผนระดับสูงสองแผน นั่นคือแผน Premium (สำหรับผู้ใช้ 1 คน) และ Premium Family (สำหรับผู้ใช้ 6 คน) Dashlane Premium มีราคาถูกกว่าบริการอื่น ๆ แต่มีฟีเจอร์และฟันก์ชั่นที่มากกว่าบริการทั่วไป นอกจากนี้คุณยังจะได้รับส่วนลด 25% เมื่อคุณกรอกโค้ด SAFETYD25 เมื่อชำระเงิน ดังนั้นจึงเหลือเพียง US$4.99 / เดือน (ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีมาก)
สรุป:
Dashlane นั้นปลอดภัย ใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมมากมาย เช่น โปรแกรมเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติ การตรวจสอบดาร์กเว็บ 2FA และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือจัดการรหัสผ่านเพียงแห่งเดียวที่มี VPN (และเป็น VPN ที่ดีทีเดียว) Dashlane Free นั้นมีบริการทดลองใช้งานฟรีจากแผน Premium และทุกการซื้อบริการของ Dashlane มาพร้อมกับการรับประกันคืนเงิน 30 วัน
อ่านรีวิวตัวเต็มของ Dashlane >
🥉3. RoboForm — มีความสามารถในการกรอกแบบฟอร์มอัตโนมัติที่ยอดเยี่ยม

RoboForm มาพร้อมกับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยมากมาย นำเสนอแผนสำหรับบุคคลและครอบครัว นอกจากนี้ยังมีความสามารถในกรอกแบบฟอร์มที่ดีที่สุดเหนือเครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดที่ฉันทดสอบ ในขณะที่คู่แข่งชั้นนำอย่าง 1Password และ Dashlane สามารถกรอกแบบฟอร์มเว็บขั้นสูงให้คุณได้ RoboForm ก็สามารถกรอกแบบฟอร์มเว็บที่ซับซ้อนที่สุดได้โดยอัตโนมัติด้วยความแม่นยำสูงได้ในคลิกเดียว
ด้วย RoboForm คุณสามารถสร้าง “ตัวตน” สำหรับแบบฟอร์มบนเว็บไซต์ด้วยประเภทข้อมูล 8 แบบ รวมถึงหนังสือเดินทาง บัตรเครดิตและข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ ในระหว่างการทดสอบของฉันฉันสามารถกรอกแบบฟอร์มได้ในทุกแบบ — ตั้งแต่แบบฟอร์มขั้นพื้นฐาน อย่างเช่นรหัสผ่านเข้าโซเชียลมีเดียไปจนถึงแบบฟอร์มออนไลน์ขั้นสูง โดยที่ไม่มีข้อผิดพลาดหรือช่องไหนที่ขาดหายไปเลย
RoboForm มาพร้อมกับ:
- ตัวเลือก 2FA ที่หลากหลาย
- การตรวจสอบความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน
- ตรวจสอบการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
- การแบ่งปันบันทึกและรหัสผ่านที่ปลอดภัย
- การบันทึกบุ๊คมาร์คที่ปลอดภัย
- การเข้าถึงฉุกเฉิน
RoboForm ยังเป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่ายอีกด้วย ในช่วงที่ฉันทดลองใช้งาน ฉันสามารถแชร์การเข้าระบบให้กับผู้ใช้คนอื่น อนุญาตการเข้าถึงแบบฉุกเฉินให้แก่ผู้ใช้ที่ไว้ใจ และตรวจเช็คตู้นิรภัยเพื่อหารหัสผ่านที่อ่อนแอ สำคัญ หรือรหัสผ่านที่มีช่องโหว่ได้อย่างง่ายดาย RoboForm ยังสามารถใช้งานได้ดีกับ App ยืนยันตัวตนสองปัจจัย อย่างเช่น Google Authenticator และฉันไม่พบปัญหาในการเข้าระบบด้วยลายนิ้วมือเพื่อเข้าใช้งานบัญชี RoboForm ของฉัน
หนึ่งอย่างที่ฉันชอบมากที่สุดเกี่ยวกับ RoboForm คือพื้นที่จัดเก็บบุ๊คมาร์กที่มีความรัดกุม ซึ่งให้ผู้ใช้สามารถบันทึกและซิงค์บุ๊กมาร์กจากเบราว์เซอร์ในคอมพิวเตอร์ ไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ติดตั้ง RoboForm ไว้แล้ว คุณสมบัติเด่นข้อนี้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบในการทดลองของฉัน ทำให้ฉันสามารถเข้าถึงเว็บไซต์โปรดทั้งหมดได้แบบทันทีจากทุก ๆ อุปกรณ์
RoboForm Free มีฟีเจอร์กรอกข้อมูลอัตโนมัติ การตรวจสอบความแข็งแกรงของรหัสผ่านและการจัดเก็บรหัสผ่านที่ปลอดภัย RoboForm Everywhere ให้คุณสามารถซิงค์บนอุปกรณ์ได้ไม่จำกัด, 2FA และการสำรองข้อมูลบน cloudRoboForm Everywhere Family มีฟีเจอร์แบบเดียวกันแต่คุณสามารถเพิ่มผู้ใช้อื่น ๆ ได้อีก 5 คน และแผนบริการทั้งหมดที่ทำโปรแกรมมีให้นั้นถือว่ามีราคาถูกกว่าโปรแกรมจัดการรหัสผ่านอื่น ๆ ส่วนมาก — RoboForm Everywhere มีราคาเพียง US$0.99 / เดือน ในขณะที่ Everywhere Family มีราคาเพียง US$27.70 / ปี ทำให้ RoboForm เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ที่มีงบประมาณจำกัด
สรุป:
RoboForm เป็นโปรแกรมจัดการรหัสผ่านที่ยอดเยี่ยมซึ่งมาพร้อมตัวกรอกแบบฟอร์มที่ดีที่สุดในตลาด อีกทั้ง RoboForm ยังมาพร้อมการรักษาความปลอดภัยแบบพิเศษ เช่น การยืนยันตัวตนแบบสองปัจจัย การตรวจสอบความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน พื้นที่จัดเก็บบุ๊คมาร์กที่รัดกุม พื้นที่จัดเก็บคลาวด์อย่างรัดกุม การเข้าใช้งานฉุกเฉิน และอื่น ๆ อีกมากมาย. แผนบริการฟรีของ RoboFormจะมาพร้อมการทดลองใช้งานแผนบริการ Premium Everywhere ของ RoboForm ฟรี 30 วันซึ่งมีราคาถูกกว่าโปรแกรมคู่แข่งส่วนใหญ่ สำหรับทุกการซื้อแผนบริการ RoboForm จะมาพร้อมการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
อ่านรีวิวตัวเต็มของ RoboForm >
4. Keeper — เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง แอปที่ใช้งานง่ายและการกำหนดราคาที่ยืดหยุ่น

Keeper เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานง่ายที่มาพร้อมกับการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง — การเข้ารหัสระดับ AES 256-bit, นโยบายการไม่บันทึกข้อมูลและตัวเลือกการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (MFA) ที่หลากหลาย รวมถึงตัวเลือกพื้นฐาน เช่น แอพพพลิเคชั่น 2FA อย่าง Google Authenticator และการเข้าสู่ระบบด้วยการแสกนใบหน้าและลายนิ้วมือบนอุปกรณ์มือถือและสมาร์ทวอทช์
นอกจากจะปลอดภัยอย่างมากแล้ว Keeper ยังใช้งานได้ง่ายมาก — และฟีเจอร์และฟังก์ชันทั้งหมดของพวกเขายังทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบในระหว่างการทดสอบทั้งหมดของฉัน Keeper นำเสนอการบันทึกรหัสผ่านที่สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดของฉันทันทีและกรอกรหัสผ่านและแบบฟอร์มบนเว็บโดยอัตโนมัติอย่างแม่นยำ ฉันยังพบว่าการแบ่งปันข้อมูลรหัสผ่านกับผู้ใช้รายอื่นนั้นทำได้ง่ายอย่างมาก เช่นเดียวกับการตั้งค่าการอนุญาตการแบ่งปันเฉพาะ – ค่าเริ่มต้นสำหรับการแบ่งปันรหัสผ่านคือ “อ่านอย่างเดียว” แต่ฉันสามารถให้ผู้ใช้คนอื่น ๆ ควบคุมรหัสผ่านที่ใช้ร่วมกันได้อย่างง่ายดายในคลิกเดียว
Keeper มีฟีเจอร์เพิ่มเติมอย่าง:
- แอพพลิเคชั่นส่งข้อความที่ปลอดภัย (KeeperChat)
- พื้นที่จัดเก็บแบบ cloud (10 GB)
- การตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน
- การควบคุมดาร์กเว็บ
แอพพลิเคชั่นส่งข้อความที่ปลอดภัยนั้นเป็นในสิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดของ Keeper KeeperChat เป็นบริการส่งข้อความที่เข้ารหัสที่มาพร้อมกับตัวเลือกมากมายสำหรับการส่งและรับข้อความอย่างปลอดภัย รวมถึงการยกเลิกข้อความ การตั้งเวลาทำลายข้อความและแกลเลอรีส่วนตัวสำหรับจัดเก็บรูปภาพและวิดีโอ
Keeper มาพร้อมกับพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์มากกว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านอื่น ๆ ในขณะที่คู่แข่งชั้นนำอย่าง 1Password และ Dashlane มีพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ 1 GB แต่ Keeper นำเสนอพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ 10 GB และมาพร้อมตัวเลือกในการอัพเกรดมากถึง 100 GB (ไม่มีเครื่องมือจัดการรหัสผ่านอื่นที่ให้บริการได้มากเท่านี้)
Keeper มีบริการฟรีที่มีข้อจำกัดค่อนข้างมาก — มันไม่มีฟีเจอร์ทั้งหมดของ Keeper และสามารถใช้งานได้บน 1 อุปกรณ์เท่านั้น Keeper Unlimited นั้นเป็นบริการที่คุณสามารถจัดเก็บรหัสผ่านได้ไม่จำกัดบนไม่จำกัดอุปกรณ์ สามารถแบ่งปันรหัสผ่านและใช้การยืนยันหลายปัจจัยและKeeper Family เพิ่มผู้ใช้สูงสุด 5 รายการและพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ 10 GB ส่วนเสริมของทั้งสองแผนรวมถึงการตรวจสอบดาร์กเว็บและพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์สูงสุด 100 GB GB
Keeper อาจมีราคาแพงเล็กน้อยหากคุณซื้อบริการเสริมอื่น ๆ แต่ก็เป็นหนึ่งในข้อเสนอที่คุ้มค่าที่สุด — และคุณสามารถประหยัดไปได้ 40% เมื่อใช้คูปองของเราที่ด้านล่าง ดังนั้นคุณจะได้รับ Keeper Unlimited ในราคา US$20.98 / ปี และ Keeper Family ในราคา US$44.98 / ปี
สรุป:
Keeper เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีความปลอดภัยสูงที่มีการป้องกันทั้งหมดที่คุณต้องการเพื่อจัดการรหัสผ่านของคุณอย่างปลอดภัย และมาพร้อมฟีเจอร์ความปลอดภัยทางไซเบอร์มากมาย — มีการเข้ารหัสที่แข็งแกร่ง การตรวจสอบรความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน การตรวจสอบดาร์กเว็บ แอพพลิเคชั่นเข้ารหัสข้อความและพื้นที่จัดเก็บที่มากกว่า (10 GB – 100 GB) คู่แข่งคนอื่น ๆ Keeper มีตัวเลือกราคาที่แตกต่างกันมากมายสำหรับทั้งบุคคลและครอบครัว ดังนั้นจึงง่ายต่อการค้นหาแผนที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณ คุณสามารถทดสอบฟีเจอร์ระดับพรีเมียมทั้งหมดของ Keeper ได้ด้วยการทดลองใช้ฟรี 30 วัน
5. LastPass — ดีที่สุดสำหรับแผนบริการฟรี

LastPass มีบริการที่ปลอดภัย เต็มไปด้วยฟีเจอร์ที่ใช้งานได้อย่างง่ายดายและมีแผนใช้งานฟรีที่ยอดเยี่ยม — LastPass Free เป็นหนึ่งในบริการจัดการรหัสผ่านที่หาได้ยากที่ให้ผู้ใช้สามารถจัดเก็บรหัสผ่านได้ไม่จำกัด (บนอุปกรณ์มือถือหรือเดกส์ทอป – แต่ไม่สามารถใช้ได้ทั้งคู่) และแบ่งปันรหัสผ่านได้ไม่จำกัด (ผู้ใช้ 1 คน)
LastPass Free ยังมี:
- การเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติ
- การกู้คืนบัญชี
- ตัวเลือก MFA พื้นฐาน
- การตรวจสอบความแข็งแกร่งของอุปกรณ์
- พื้นที่จัดเก็บบันทึกที่ปลอดภัย
ฉันชอบที่ LastPass มีฟีเจอร์การเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติในแผนการใช้งานฟรี — ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ฉันสามารถเปลี่ยนรหัสผ่านในกว่า 70 เว็บไซต์ได้ในเพียงแค่คลิกเดียว ในขณะที่ฟีเจอร์นี้ใน Dashlane สามารถครอบคลุมจำนวนเว็บไซต์ได้มากกว่าและใช้งานได้ง่ายกว่า แต่ว่าเครื่องมือของ LastPass นั้นก็ถือว่าใช้งานได้ดีมากพอสมควร
LastPass เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านเพียงบริการเดียวในรายการนี้เพื่อให้มีตัวเลือกการกู้คืนที่หลากหลาย รวมถึงการกู้คืน SMS คำใบ้รหัสผ่านหลักและการกู้คืนรหัสผ่านแบบครั้งเดียว ตัวเลือกทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงที่เก็บรหัสผ่านหลักของ LastPass ของคุณได้อย่างง่ายดายหากคุณลืมรหัสผ่านหลักของคุณ
ฉันชอบตัวเลือก MFA ของ LastPass — ที่สามารถซิงค์กับเครื่องมือยืนยันในตัวของ LastPass และเครื่องมือยืนยันตัวตนของบุคคลที่สามอย่างเช่น Google และ Microsoft ได้ แผนชำระเงินของ LastPass นั้นมีตัวเลือก MFA ขั้นสูงนำเสนอมากมายเช่น YubiKey, Sesame และการยืนยันตัวตนโดยใช้ลายนิ้วมือ
นอกเหนือจาก MFA ขั้นสูงแล้ว จากอัพเกรดเป็นLastPass Premium ยังให้คุณสามารถแบ่งปันรหัสผ่านกับผู้ใช้ที่คนอื่น ๆ , ตรวจสอบดาร์กเว็บ, การเข้าถึงฉุกเฉินและพื้นที่จัดเก็บแบบ cloud ขนาด 1 GB และ LastPass Premium มีราคาอยู่ที่ US$3.00 / เดือน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ แม้ว่าจะมีราคาแพงกว่าแบรนด์ระดับสูงบางแบรนด์ก็ตาม LastPass Families เพิ่มจำนวนผู้ใช้สูงสุด 6 รายในราคาเพียง US$4.00 / เดือน ทำให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับครอบครัวที่ดีอีกตัวเลือกหนึ่ง
สรุป:
LastPass มีแผนจัดการรหัสผ่านฟรีที่ดี — แผนฟรีมีชุดฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยม เช่น เครื่องมือเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติ ตัวเลือกการกู้คืนบัญชี MFA พื้นฐานและการตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน ในขณะที่ LastPass Free อนุญาตให้ซิงค์รหัสผ่านระหว่างอุปกรณ์ประเภทเดียวเท่านั้น (มือถือหรือเดสก์ท็อป) การอัปเกรดเป็น LastPass Premium จะช่วยให้คุณสามารถซิงค์กับอุปกรณ์ทั้งหมด รวมทั้งการแบ่งปันรหัสผ่านแบบไม่จำกัดกับผู้ใช้หลายคน, การตรวจสอบดาร์กเว็บ, MFA ขั้นสูงและอื่น ๆ อีกมากมาย LastPass Free มาพร้อมกับการทดลองใช้ LastPass Premium ฟรี 30 วัน
อ่านรีวิวตัวเต็มของ LastPass >
6. Sticky Password — แผนพรีเมี่ยมที่ดีที่สุดที่มาพร้อมกับการจัดเก็บข้อมูลลงในอุปกรณ์

Sticky Password เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบพื้นฐานที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยม 2-3 อย่าง — รวมถึงการบันทึกข้อมูลแบบถาวรและโปรแกรมเวอร์ชั่น USB
แม้ว่า Sticky Password จะไม่มีฟีเจอร์มากมายเท่ากับ 1Password Dashlane หรือ Keeper แต่ฉันชอบที่ Sticky Password ให้คุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการจัดเก็บและซิงค์ข้อมูลของคุณในระบบคลาวด์ที่ปลอดภัยของ Sticky Password หรือในเครื่องของคุณเอง Sticky Password ใช้การเข้ารหัส AES 256-bit เพื่อรักษาความปลอดภัยฐานข้อมูลผู้ใช้ในระบบคลาวด์ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ แต่ผู้ใช้ที่เน้นด้านความปลอดภัยยังสามารถซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายภายในได้อีกด้วย
ฉันคิดว่ามันยอดเยี่ยมมากที่ Sticky Password คุณสามารถพกพาโปรแกรมนี้ไปกับคุณได้ทุกที่ด้วย USB— ดังนั้นคุณสามารถเข้าถึงรหัสผ่านของคุณจากคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ (มีให้ใช้กับ Windows PC เท่านั้น)
Sticky Password นำเสนอ บริการฟรี ที่คุณสามารถบันทึกรหัสผ่านได้ไม่จำกัดได้ใน 1 อุปกรณ์, 2FA, การจัดเก็บบันทึกที่ปลอดภัยและเวอร์ชั่น USB Upgrading to Sticky Password Premium สามารถเพิ่มอุปกรณ์ได้ไม่จำกัด สามารถแบ่งปันรหัสผ่านได้และเลือกการจัดเก็บและซิงค์ระหว่าง Cloud หรือพื้นที่บนอุปกรณ์ — แถม Sticky Password ยังบริจาครายได้บางส่วนให้แก่องค์กรพิทักษ์พะยูนอีกด้วย! Sticky Password ยังมีตัวเลือกในการซื้อการสมัครสมาชิกตลอดชีพอีกด้วย. Sticky Password มีราคา US$29.99 / ปี ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ดี — แต่มีตัวเลือกเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีกว่าได้ในราคาใกล้เคียงกัน
สรุป:
Sticky Password มีฟีเจอร์ที่สำคัญทั้งหมดสำหรับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านและยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างเช่นการจัดเก็บข้อมูลลงในพื้นที่อุปกรณ์หรือโปรแกรมเวอร์ชั่นพกพา Sticky Password Free cมาพร้อมกับบัญชีการทดลองใช้งานฟรี 30 วันของ Sticky Password Premium และทุกการซื้อบริการของ Sticky Password จะมีการันตีการคืนเงินโดยไม่มีความเสี่ยงเป็นเวลา 30 วัน (ต้องการซื้อบริการแบบพรีเมี่ยมจะสมทบทุนองค์กรช่วยเหลือพะยูน (Save the Manatee Club) !)
อ่านรีวิวตัวเต็มของ Sticky Password >
7. Avira Password Manager — ตั้งค่าได้ง่าย & ฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย
Avira Password Manager นั้นสามารถตั้งค่าและใช้งานได้อย่างง่ายดาย ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิค แม้ว่า Avira Password Manager จะไม่มีแอพพลิเคชั่นบนเดสก์ท็อป แต่ฉันก็ชอบแอพพลิเคชั่นและส่วนขยายเบราว์เซอร์ที่ดูสะอาดตาและใช้งานง่าย แอพพลิเคชั่น iOS และ Android นั้นสามารถใช้งานง่ายมากและเต็มไปด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ใช้งานได้ง่าย
Avira นำเสนอชุดฟีเจอร์ที่ดีพอสมควร รวมถึงการจัดเก็บรหัสผ่านไม่จำกัด การซิงค์หลายอุปกรณ์ การเข้าสู่ระบบอัตโนมัติ การแจ้งเตือนการละเมิดข้อมูล การตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน การเข้าสู่ระบบไบโอเมตริกซ์บนมือถือ ตัวตรวจสอบความถูกต้อง 2FA ในตัวและที่เก็บไฟล์ที่ปลอดภัยขนาด 1 GB
อย่างไรก็ตาม Avira ไม่มีตัวเลือก 2FA ขั้นสูง (มีแค่การยืนยันผ่านทาง SMS) ความสามารถในการแบ่งปันรหัสผ่าน การนำเข้ารหัสผ่านที่ปลอดภัยและการเข้าถึงกรณีฉุกเฉิน ซึ่งทั้งหมดนี้มีให้ใช้งานในคู่แข่งชั้นนำอย่าง Dashlane และ LastPassด้วยเช่นกัน
Avira นำเสนอฟีเจอร์การจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่ฟรี แต่หากต้องการเข้าถึงการตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่านและการแจ้งเตือนการละเมิดข้อมูล คุณต้องอัปเกรดเป็น Avira Password Manager Pro ซึ่งมีค่าบริการอยู่ที่ US$2.67 / เดือน แม้ว่าแผน Pro จะมีราคาไม่แพง แต่ก็ไม่ได้มีฟีเจอร์ครอบคลุมเท่าคู่แข่งชั้นนำอย่าง Dashlane, 1Password และ Roboform แต่ว่า Avira Password Manager เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานง่ายและครอบคลุม คุณยังสามารถใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านของ Avira เป็นส่วนหนึ่งของ Avira Prime ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุดใน 2023
สรุป:
Avira Password Manager ใช้งานง่ายและมาพร้อมกับชุดฟีเจอร์ที่ดี รวมถึงการแจ้งเตือนการละเมิดข้อมูลและที่เก็บไฟล์ที่ปลอดภัยขนาด 1 GB Avira ไม่ได้มีฟีเจอร์ขั้นสูงเหมือนกับคู่แข่งอย่าง 1Password และ Dashlane ฉันอยากให้ Avira เพิ่มฟีเจอร์อย่างการแบ่งปันรหัสผ่าน การเข้าถึงฉุกเฉินและตัวเลือก 2FA อื่น ๆ แต่ Avira นั้นติดตั้งและใช้งานได้ง่ายและมาพร้อมกับการรับประกันคืนเงินภายใน 60 วัน
รับ Avira Password Manager เลยตอนนี้
อ่านรีวิวตัวเต็มของ Avira Password Manager >
8. Password Boss — คุ้มค่าและมาพร้อมกับฟีเจอร์เพิ่มเติมมากมาย

Password Boss เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานง่าย มาพร้อมอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและฟีเจอร์ที่ออกแบบมาอย่างดีและมีประโยชน์มากมาย — รวมถึงการแบ่งปันรหัสผ่านที่ปลอดภัย, 2FA พื้นฐาน, การตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่านและที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์
ฉันชอบฟังก์ชั่นการเข้าถึงฉุกเฉินที่ปรับแต่งได้ของ Password Boss ซึ่งช่วยให้ผู้ติดต่อที่เชื่อถือได้เข้าถึงรหัสผ่านเฉพาะได้ในกรณีฉุกเฉิน — นี่คือสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนจากเครื่องมือจัดการรหัสผ่านอื่น ๆ (LastPass มีตัวเลือกฉุกเฉินที่ดี ผู้ใช้รายอื่นสามารถให้เข้าถึงรหัสผ่านทั้งหมดของคุณได้ คุณไม่สามารถให้ผู้ใช้รายอื่นเข้าถึงรหัสผ่านที่เฉพาะเจาะจงได้)
แม้ว่า Password Boss จะไม่ได้มีฟีเจอร์ที่โดดเด่นมากที่ทำให้มันแตกต่างจากคู่แข่งชั้นนำอย่าง Dashlane มากนัก แต่ฉันคิดว่า Password Boss นั้นยอดเยี่ยมสำหรับผู้ใช้ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านเทคนิคที่กำลังมองหาโปรแกรมที่มีฟีเจอร์ครบถ้วน — มีความปลอดภัย ใช้งานง่ายและมีฟังก์ชันการจัดการรหัสผ่านที่จำเป็นทั้งหมด พร้อมกับฟีเจอร์พิเศษที่มีประโยชน์บางประการ
Password Boss มี แผนการใช้งานฟรี แต่มันมีการจำกัดรหัสผ่านที่สามารถบันทึกและแบ่งปันได้ (5 รหัส) Password Boss’s Premium และ Families มีฟีเจอร์ของ Password Boss ทั้งหมด — แต่ความแตกต่างระหว่างสองแผนนี้อยู่ที่แผน Premium นั้นสำหรับการใช้งานส่วนบุคคลและแผน Families นั้นให้ผู้ใช้สามารถแบ่งปันกับผู้ใช้อื่น ๆ ได้อีก 5 คน
แผนพรีเมียมของ Password Boss มีค่าใช้จ่าย US$2.50 / เดือน ในขณะที่แผน Families มีราคาที่ US$2.50 / เดือน — แม้ว่าจะมีราคาถูกกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ แต่ Password Boss ก็ขาดฟังก์ชันการทำงานบางอย่างเหมือนในบริการคู่แข่งระดับชั้นนำ
สรุป:
Password Boss เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานง่าย มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษที่มีประโยชน์ Password Boss ไม่มีฟีเจอร์พิเศษใด ๆ แต่มีเครื่องมือทั้งหมดที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ต้องการในการจัดเก็บรหัสผ่านอย่างปลอดภัย รวมถึงการแบ่งปันรหัสผ่าน การตรวจสอบรหัสผ่าน การเข้าถึงกรณีฉุกเฉินและอื่น ๆ อีกมากมาย Password Boss เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคและคุณสามารถทดลองใช้ได้ฟรี 30 วันและรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
อ่านรีวิวตัวเต็มของ Password Boss >
9. Bitwarden — ตัวเลือกบริการแบบโอเพ่นซอร์สที่ดีที่สุด

Bitwarden เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านโอเพ่นซอร์สราคาประหยัดที่มาพร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม แผนรายบุคคลมีราคาเพียง US$10.00 / ปี ทำให้เป็นหนึ่งในบริการที่มีราคาถูกที่สุด แต่ว่ามันให้ประสบการณ์การใช้งานได้ไม่ดีเท่าไหร่บริการอื่น ๆ ฉันพบว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านอื่น ๆ เช่น RoboForm ใช้งานง่ายกว่ามาก
Bitwarden ใช้การเข้ารหัสแบบ AES 256-bit รวมทั้ง แอพพลิเคชั่น 2FA อย่าง Authy และ Google Authenticator และให้คุณสามารถเลือกจัดเก็บข้อมูลลงในพื้นที่อุปกรณ์ได้
ฉันชอบมากที่ฉันสามารถจัดเก็บข้อมูลของฉันแบบออฟไลน์ได้ — ฉันมีเซิร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัยและฉันชอบที่จะจัดเก็บข้อมูลส่วนตัวของฉันนอก Cloud
ฉันชอบที่ Bitwarden มีพื้นที่จัดเก็บรหัสผ่านออนไลน์และทำให้คุณสามารถเข้าถึงรหัสผ่านจากคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ — ฉันสามารถเข้าถึงที่เก็บรหัสผ่านของ Bitwarden และลงชื่อเข้าใช้ Netflix ของฉันบนคอมพิวเตอร์ของเพื่อนฉันได้
อย่างไรก็ตาม Bitwarden ไม่ได้ใช้งานง่ายเหมือนกับโปรแกรมอื่น ๆ ในรายการนี้ ฟังก์ชั่นบางอย่างของ Bitwarden อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ได้เชี่ยวชาญในการใช้งาน (เช่นการตั้งค่า Organizations สำหรับการแบ่งปันและซิงค์รหัสผ่านที่ปลอดภัย) ดังนั้นฉันจึงไม่แนะนำให้ใช้กับผู้ใช้ที่ไม่เคยใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านมาก่อนหรือผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี
Bitwarden Free ให้คุณสามารถจัดเก็บรหัสผ่านได้ไม่จำกัด, ที่จัดเก็บบันทึกและบัตรเครดิต, 2FA และการจัดเก็บรหัสผ่านในอุปกรณ์ Bitwarden Premium เพิ่มพื้นที่การจัดเก็บ, การตรวจสอบความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน และเครื่องสร้าง 2FA code และ Bitwarden Families เพื่อเพิ่มความครอบคลุมผู้ใช้งาน 6 คน
สรุป:
Bitwarden นั้นเป็นบริการที่มีราคาถูก เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบโอเพนซอร์สที่นำเสนอฟีเจอร์ขั้นสูงมากมาย — อย่างเช่นการจัดเก็บอุปกรณ์ เครื่องมือสร้างโค้ด 2FA และพื้นที่จัดเก็บรหัสผ่านออนไลน์ อย่างไรก็ตาม Bitwarden นั้นไม่ได้ใช้งานง่ายเหมือนบริการอื่น ๆ ในรายการ – มันทำให้การแบ่งปันรหัสผ่านนั้นซับซ้อนกว่าที่ควรจะเป็นและยังขาดฟังก์ชันที่นำเสนอโดยบริการชั้นนำอื่น ๆ การสมัครใช้งาน Bitwarden ทั้งหมดมาพร้อมกับการรับประกันคืนเงิน 30 วัน
อ่านรีวิวตัวเต็มของ Bitwarden >
10. Norton Password Manager — เป็นการผสมผสานระหว่างแอนตี้ไวรัส + เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุด

Norton Password Manager นั้นเป็นตัวจัดการรหัสผ่านฟรีที่บันเดิลมากับ แพลนแอนตี้ไวรัสระดับพรีเมียมของ Norton 360. มันมาพร้อมกับการรักษาความปลอดภัยระดับแนวหน้า ซึ่งรวมถึงการเข้ารหัส 256-bit AES, zero-knowledge architecture และก็ 2FA ทั้งยังมีอะไรเสริมพิเศษอย่างเช่น การตรวจสอบคลังรหัสผ่าน และก็ตัวเปลี่ยนรหัสผ่านแบบคลิกเดียวซึ่งใช้งานได้กับเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Paypal และ Netflix
Norton Password Manager ยังเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ฟรีหายากที่มีพื้นที่จัดเก็บรหัสผ่านได้ไม่จำกัดบนจำนวนเครื่องที่ไม่จำกัดอีกด้วย (Avira Password Manager เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกแอนตี้ไวรัสที่ดีที่มาพร้อมกับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ไม่มีการจำกัดเรื่องจำนวนรหัสและจำนวนเครื่อง)
อย่างไรก็ตาม Norton Password Manager ยังขาดฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยอยู่หลายตัวที่แบรนด์อื่น ๆ อย่างเช่น Dashlane หรือ 1Password มีให้ – ไม่มีทั้งระบบแชร์รหัสผ่าน ระบบตรวจสอบข้อมูลทางเว็บ หรือ authenticator ในตัว ยิ่งไปกว่านั้น ทั้ง Dashlane และ 1Password ต่างก็มาพร้อมกับฟีเจอร์เสริมพิเศษเช่น VPN และ โหมดเดินทาง (Travel Mode) ตามลำดับ
แต่ในขณะเดียวกัน แพลนของ Norton’s 360 นั้นก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่มากกว่าคู่แข่งเกือบจะทั้งหมด ด้วยราคา US$49.99 / ปี Norton 360 Deluxe นั้นมีอัตราการตรวจจับมัลแวร์ที่สมบูรณ์แบบ มีส่วนเสริมพิเศษเช่น VPN มีระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครอง และก็มีการตรวจสอบเว็บมืด (dark web) และแอปที่ใช้งานง่ายสำหรับทุกแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ Norton 360 เป็น แอนตี้ไวรัสที่ได้คะแนนสูงที่สุดของเราแห่งปี 2023 ดังนั้นถ้าคุณกำลังมองหาเครื่องมือป้องกันภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มรูปแบบที่มาพร้อมกับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานได้ดีล่ะก็ คงจะหาดีกว่า Norton ไม่ได้อีกแล้ว
แต่ถ้าคุณมีแอนตี้ไวรัสที่คุณคิดว่าดีมากอยู่แล้ว คุณก็สามารถดาวน์โหลด Norton Password Manager แบบที่เป็นส่วนเสริมของหรือแอปมือถือได้เช่นกัน
สรุป:
Norton Password Manager เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านฟรีที่ถือว่าดีพอใช้ได้และมันก็มาพร้อมกับเครื่องมือป้องกันภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตที่ดีที่สุด มันมีความปลอดภัยและใช้งานง่าย แต่ยังขาดฟีเจอร์สำคัญเช่นการแชร์รหัสผ่านและการตรวจสอบการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม โปรแกรมแอนตี้ไวรัสของ Norton นั้นก็มีฟีเจอร์ป้องกันภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับคุณเอาไว้แล้ว ได้แก่ การป้องกันมัลแวร์แบบเรียลไทม์ การป้องกันทางเว็บ VPN ระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครอง และอื่น ๆ อีกมากมาย Norton Password Manager ยังมีให้ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรีอีกด้วย นอกจากนี้การสั่งซื้อทั้งหมดกับ Norton นั้นก็มีการรับประกันคืนเงินอย่างไม่มีความเสี่ยงเป็นเวลาถึง 60 วัน
รับ NORTON PASSWORD MANAGER ตอนนี้เลย
อ่านรีวิวฉบับเต็มสำหรับ Norton Password Manager ได้ที่ >
ตารางเปรียบเทียบเครื่องมือระดับชั้นนำทั้งหมด – 2023
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านนั้นทำงานอย่างไร
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านจะเก็บรหัสผ่านทั้งหมดของคุณไว้ในคลังที่มีการเข้ารหัส ซึ่งจะมีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้ และมันจะช่วยกรอกข้อมูลนั้นให้อัตโนมัติเวลาที่คุณจะทำการล็อกอินเข้าบัญชีทางออนไลน์
เพื่อให้แน่ใจว่าคลังรหัสผ่านของคุณนั้นมีความปลอดภัย 100% เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีคุณภาพระดับแนวหน้านั้นจึงเลือกใช้การเข้ารหัสแบบ 256-bit AES – ซึ่งเป็นการรหัสชนิดเดียวกันกับที่ธนาคารและกองกำลังทหารทั่วโลกเลือกใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ข้อมูลของพวกเขา นอกจากนี้มันยังถูกสร้างขึ้นด้วย zero-knowledge architecture หรือก็คือว่าวิธีเดียวที่จะเข้าถึงคลังรหัสผ่านได้ก็คือต้องใช้รหัสผ่านหลักที่มีคุณรู้อยู่คนเดียว รหัสผ่านหลักนี้จะเป็นรหัสผ่านเดียวที่คุณต้องจำเอาไว้
ในการใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน คุณสามารถสร้างรหัสผ่านใหม่ที่ไม่มีทางถูกแฮกได้ ซึ่งจะเป็นการผสมกันระหว่างตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวเลข และก็สัญลักษณ์ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่จะสร้างรหัสผ่านที่มีความยาวมากกว่า 16 อักขระ แต่บางแบรนด์เช่น RoboForm สามารถสร้างรหัสผ่านที่ยาวกว่า 500 อักขระได้ด้วย
นอกจากจะสร้าง เก็บ และกรอกรหัสผ่าน รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ให้อัตโนมัติแล้ว เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดก็ยังมีฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยอื่น ๆ อีกมากมายให้คุณใช้งาน เช่น:
- ระบบยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) — ใช้ระบบการยืนยันตัวตนในรูปแบบที่สอง (เพิ่มจากการใช้รหัสผ่าน) เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้งานคือคุณจริง ๆ
- ระบบตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน — จะช่วยวิเคราะห์รหัสผ่านทั้งหมดในคลังของคุณ และจะแจ้งเตือนถึงรหัสผ่านที่อ่อนแอ มีการใช้ซ้ำ หรือรหัสผ่านที่รั่วไหลไปแล้ว
- การตรวจสอบการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล – ตรวจสอบเว็บมืดเพื่อดูว่ารหัสผ่านของคุณนั้นเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ถูกละเมิดหรือไม่
- แบ่งปันรหัสผ่าน – จะทำให้คุณสามารถแบ่งปันล็อกอินของคุณให้กับผู้ใช้งานคนอื่นได้อย่างปลอดภัย พร้อมทั้งตั้งค่าการให้อนุญาตได้ด้วย
- การเข้าถึงอย่างฉุกเฉิน – จะทำให้คุณสามารถตั้งค่ารายชื่อฉุกเฉินผู้ที่จะสามารถเข้าถึงคลังรหัสผ่านของคุณได้ ในกรณีที่คุณไม่สามารถเข้าถึงได้เอง
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบางบริการยังนำเสนอบริการที่เหนือกว่าและบริการเพิ่มเติม เช่น การซ่อนที่เก็บรหัสผ่าน บัตรเสมือน VPN หรือที่เก็บข้อมูลบุ๊กมาร์ก 1Password มีโหมดการเดินทางที่ให้คุณซ่อนรหัสผ่านบางอย่างเมื่อข้ามพรมแดน เช่นเดียวกับบัตรชำระเงินเสมือนจริงที่ให้คุณซ่อนหมายเลขบัตรจริงของคุณเมื่อทำการซื้อออนไลน์ Dashlane เป็นแบรนด์เดียวในรายการนี้ที่มี VPN ซึ่งเข้ารหัสการรับส่งข้อมูลการใช้งานของคุณและทำให้กิจกรรมออนไลน์ทั้งหมดของคุณเป็นส่วนตัวและ RoboForm เป็นหนึ่งในเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ให้คุณจัดเก็บและซิงค์บุ๊กมาร์กได้อย่างปลอดภัย
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้ยังมีการซิงค์ไม่จำกัดอุปกรณ์ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถใช้งานกับอุปกรณ์ ระบบปฏิบัติการและเบราว์เซอร์ทั้งหมดได้ และหลายบริการยังมีแผนครอบครัวที่มีแดชบอร์ดการจัดการครอบครัวที่ใช้งานง่าย เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่รองรับผู้ใช้สูงสุด 6 คน แต่ 1Password ให้คุณสามารถเพิ่มผู้ใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนโดยมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อย
วิธีการเลือกเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดในปี 2023
คุณควรจะมองหาอะไร เมื่อต้องการเลือกเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช่? ทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุด- ตรวจสอบดูฟีเจอร์ความปลอดภัยของคลังรหัสขั้นสูง เครืองมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดที่ใช้การเข้ารหัส AES 256-bit มีโปรโตคอลการไม่บันทึกข้อมูลการใช้งาน มีการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) หรือยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (MFA) และมาพร้อมกับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมเพื่อให้การจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัย 100%
- ตรวจสอบให้มั่นใจว่ามันมาพร้อมกับฟีเจอร์จำเป็น บริการทั้งหมดที่ฉันแนะนำสามารถสร้าง บันทึกและกรอกข้อมูลรหัสผ่านและข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ได้อย่างราบรื่น 1Password และ Dashlane นั้นนำเสนอฟังก์ชันการจัดการรหัสผ่านพื้นฐานเหล่านี้และ RoboForm มีเครื่องมือกรอกแบบฟอร์มที่ทันสมัยที่สุด
- มองหาฟีเจอร์เสริม เครื่องมือจัดการรหัสผ่านนำเสนอฟีเจอร์มากมาย แต่ปัญหาก็คือบางฟีเจอร์นั้นไม่ได้เพิ่มคุณภาพโดยรวมอะไรเลย แต่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้ มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์ที่ใช้งานได้ดีจริง รวมถึงการแบ่งปันรหัสผ่าน การตรวจสอบรหัสผ่านและการตรวจสอบดาร์กเว็บ บริการชั้นนำอย่าง 1Password ยังมีฟีเจอร์ที่ไม่เหมือนใคร เช่น โหมดท่องเที่ยว ที่ให้คุณสามารถซ่อนข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเมื่อข้ามชายแดนและ Dashlane ก็มี VPN ที่ช่วยเข้ารหัสข้อมูลการใช้งานของคุณ
- ตรวจสอบให้มั่นใจว่า เครื่องมือจัดการรหัสผ่านนั้นมีแอปที่ใช้งานง่าย เครื่องมือจัดการรหัสผ่านนั้นควรจะใช้งานได้ง่าย หากไม่เป็นอย่างนั้นก็ถือว่าให้บริการได้ไม่ดี เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้นั้นใช้งานและเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าทั้งผู้ใช้เริ่มต้นหรือผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิค
- ดูว่ามันรองรับหลายแพลตฟอร์มหรือไม่ คุณสามารถใช้งานเครื่องมือได้ในทุกอุปกรณ์ที่คุณมี บริการนำเสนอการใช้งานในหลากหลายระบบปฏิบัติการและเบราเซอร์ทั้งหมด เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้นำเสนอแอปทั้งในเดกส์ทอป เบราเซอร์และส่วนขยายสำหรับ Chrome, Firefox และเบราเซอร์อื่น ๆ
- เลือกแบรนด์ที่มีฝ่ายให้บริการลูกค้าที่มีคุณภาพดี เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีจะนำเสนอตัวเลือกการช่วยเหลือลูกค้าที่หลากหลาย รวมถึงอีเมล์ โทรศัพท์และ/หรือไลฟ์แชท ตัวเลือกที่ดีที่สุดของฉันยังมีฐานความรู้ที่ครอบคลุม บทความและส่วนคำถามที่พบบ่อยอีกด้วย
- ประเมินตัวเลือกราคา เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีต้องนำเสนอการจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัยในราคาที่เหมาะสม บริการที่ฉันแนะนำที่นี่ รวมทั้ง 1Password, Dashlane และ RoboForm มีราคาที่สมเหตุสมผลและนำเสนอการทดลองใช้เพื่อให้คุณสามารถทดลองใช้งานได้โดยปราศจากความเสี่ยงหรือมีการรับประกันคืนเงิน (หรือทั้งสองอย่าง)
วิธีการเลือกเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับระบบปฏิบัติการของคุณในปี 2023
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้มีความปลอดภัยและมาพร้อมกับฟีเจอร์เพิ่มเติมมากมาย แต่บางบริการอาจไม่ครอบคลุมระบบปฏิบัติการทั้งหมด เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานได้ดีบน Windows อาจมีฟีเจอร์จำกัดบน macOS หรืออาจมีแอปมือถือที่ใช้งานได้ไม่ดีนัก
หลังจากทดลองใช้งานเครื่องมือจัดการรหัสผ่านในรายการนี้บนระบบปฏบัติการทุกระบบแล้ว ฉันสามารถยืนยันได้ว่า 1Password นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดโดยรวมในปี 2023 นอกจากจะมีฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมมากมายและเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีประโยชน์แล้ว 1Password ยังมีแอปที่ใช้งานง่ายและใช้งานง่ายสำหรับ Windows, Android, macOS, iOS, Linux และ Chrome OS รวมถึงส่วนขยายเบราว์เซอร์สำหรับ Chrome, Firefox, Edge, Opera และ Brave
เมื่อแต่ละบริการให้บริการบนแต่ละระบบได้ไม่เท่ากัน คุณอาจจะต้องดูรายชื่อเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับระบบปฏิบัติการและอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้านล่าง:
- เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ Windows เราขอแนะนำ 1Password เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านสำหรับ Windows 8, 10 และ 11
- เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ Mac เครื่องมือจัดการรหัสผ่านสำหรับ Mac มักจะมีฟีเจอร์ส่วนใหญ่คล้ายกับใน Windows ดังนั้นอันดับของบริการอาจจะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ บริการที่ดีที่สุดสำหรับ macOS ของเราคือ1Password และ Dashlane
- เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ Android แอปเครื่องมือจัดการรหัสผ่านของ Android บางแอปมีฟีเจอร์น้อยกว่าและใช้งานได้ยากกว่าแอป Windows หรือ Mac อย่างไรก็ตามยังมีแอป Android จำนวนมากที่ปลอดภัย มีฟีเจอร์จำนวนมากและใช้งานได้ง่าย เราขอแนะนำ 1Password และ Dashlane เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับ Android
- เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ iOS แม้ว่าแอปเครื่องมือจัดการรหัสผ่านของ iOS จะมีฟีเจอร์มากพอ ๆ กับแอป Android แต่ก็ยังมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น แอปบางตัวมีความคล่องตัวมากกว่าสำหรับ iOS และใช้ได้กับระบบการตรวจสอบไบโอเมตริกซ์ของ iOS ได้ดีกว่า ตัวเลือกเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ iOS ก็คือ 1Password
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านสามารถถูกแฮ็คได้ไหม
มีเพียงเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ออกแบบมาไม่ดีเท่านั้นที่สามารถถูกแฮ็กได้ โดยปกติแล้วเครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐานจะใช้ระดับการเข้ารหัสหรือมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ต่ำกว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดี
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านชั้นนำใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมดปลอดภัย รวมถึงการเข้ารหัส AES 256-bit และโครงสร้างโปรแกรมแบบ zero-knowledge ที่ต่อให้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีจะถูกแฮ็คในวันนี้ แต่แฮ็คเกอร์ก็ไม่สามารถอ่านรหัสผ่านที่ขโมยมาได้เนื่องจากข้อมูลเหล่านั้นถูกเข้ารหัสเอาไว้
อย่างไรก็ตามเครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับสูงบางรายเคยถูกแฮ็คข้อมูลเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น LastPass ที่ถูกพยายามแฮ็คหลายครั้งในปี 2015 แต่บริษัทบอกว่าไม่พบหลักฐานว่าแฮ็กคเกอร์เข้าถึงบัญชีผู้ใช้หรือที่เก็บรหัสผ่าน นักวิจัยด้านความปลอดภัยยังพบช่องโหว่หลายอย่างในส่วนขยายเบราว์เซอร์ของ LastPass ในปี 2019 อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่ดังกล่าวได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วและทำให้ LastPass มีความปลอดภัยมากขึ้น
แม้ว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านชั้นนำจะใช้การรักษาความปลอดภัยระดับสูง แต่คุณควรระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าแฮ็คเกอร์จะไม่สามารถขโมยรหัสผ่านของคุณและเข้าถึงที่เก็บรหัสผ่านของคุณได้อย่างง่ายดาย เช่น:
- สร้างรหัสผ่านหลักที่ซับซ้อน
- จัดเก็บรหัสผ่านหลักอย่างปลอดภัยและไม่แบ่งปันกับผู้อื่น
- การตั้งค่าการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (MFA)
- ใช้การป้องกันเว็บฟิชชิ่ง
- ติดตั้งแอนตี้ไวรัส เพื่อให้แน่ใจว่ามัลแวร์จะไม่สามารถสอดแนมกิจกรรมของคุณได้
ตราบใดที่คุณใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านของบริการชั้นนำที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง รักษาความปลอดภัยรหัสผ่านหลักของคุณอย่างเหมาะสมและใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น การยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน จัดเก็บข้อมูลรหัสผ่านและข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ไว้ในที่เก็บรหัสผ่านของคุณ คุณก็จะปลอดภัยจากแฮ็คเกอร์ได้
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบสแตนด์อโลนกับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านของเว็บเบราว์เซอร์
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบสแตนด์อโลนมีฟีเจอร์มากกว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านเว็บเบราว์เซอร์ส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตามเครื่องมือจัดการรหัสผ่านของเว็บเบราว์เซอร์ยังคงมีประโยชน์ มันใช้งานได้สะดวกเพราะคุณไม่จำเป็นต้องติดตั้งส่วนขยายของบุคคลที่สาม มันบันทึกรหัสผ่านและรายละเอียดบัตรชำระเงินของคุณโดยอัตโนมัติและสามารถป้อนข้อมูลอัตโนมัติได้ดีพอสมควร
แต่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านของเว็บเบราว์เซอร์ไม่ได้มาพร้อมกับฟังก์ชันการทำงานระดับเดียวกับที่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบสแตนด์อโลนอย่าง 1Password และ Dashlane นำเสนอ ซึ่งบริการเหล่ามีฟีเจอร์เพิ่มเติมมากมายนอกเหนือจากการป้อนและบันทึกอัตโนมัติที่นำเสนอทั่วไป
ตัวอย่างฟีเจอร์ที่นำเสนอโดยบริการชั้นนำ :
- การตรวจสอบดาร์กเว็บแบบเรียลไทม์
- การแจ้งเตือนช่องโหว่ของรหัสผ่าน
- บัตรส่วนตัวที่ช่วยซ่อนรายละเอียดบัตรเครดิตจริงของคุณ
- สามารถใช้งานข้ามแพลตฟอร์มได้
- ตัวเลือกการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน
- แบ่งปันรหัสผ่านอย่างปลอดภัย
- และอื่น ๆ อีกมากมาย…
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านของเว็บเบราว์เซอร์มีข้อจำกัดค่อนข้างมากและไม่มีฟีเจอร์อื่น ๆ เหมือนในบริการพรีเมี่ยม นอกจากนี้เว็บเบราว์เซอร์ยังขาดฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น การยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (ซึ่งจำเป็นมาก) ที่จะช่วยทำให้รหัสผ่านของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุผลนี้ฉันคิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เว็บเบราว์เซอร์จะให้บริการได้ใกล้เคียงกับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบสแตนอโลนด์
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนบุคคล vs ธุรกิจ – อะไรคือข้อแตกต่าง
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนบุคคลและธุรกิจมีจุดประสงค์เดียวกัน นั่นก็คือเพื่อช่วยให้คุณสร้าง จัดเก็บและกรอกรหัสผ่านและข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเช่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ รายละเอียดบัตรเครดิตและอื่น ๆ ได้อย่างปลอดภัยและง่ายดาย
แต่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีจะต้องมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น การเข้ารหัส AES 256-bit, การไม่จัดเก็บและเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว, การยืนขันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) ตลอดจนฟีเจอร์การจัดการรหัสผ่านพื้นฐาน เช่น เครื่องมือสร้างรหัสผ่าน, การบันทึกและการป้อนอัตโนมัติและการซิงค์หลายอุปกรณ์ บริการส่วนบุคคลและธุรกิจนี้มีความแตกต่างกันในบางอย่าง
ตัวเลือกทางธุรกิจจำเป็นต้องมีวิธีง่าย ๆ ในการจัดการรหัสผ่านสำหรับกลุ่มพนักงาน อย่างแรก เครื่องมือจัดการรหัสผ่านของธุรกิจจำเป็นต้องมีความเรียบง่าย เพื่อให้สามารถรวมเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ของบริษัทและแดชบอร์ดผู้ดูแลระบบและพนักงานได้ง่าย ทำให้ทุกคนในบริษัทเข้าใจและใช้ฟีเจอร์ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย ตัวเลือกทางธุรกิจยังต้องนำเสนอการใช้งานที่ง่ายดายอีกด้วย
อย่างที่สองเครื่องมือจัดการรหัสผ่านสำหรัยธุรกิจจำเป็นต้องนำเสนอการแบ่งปันรหัสผ่านที่ปลอดภัยด้วยระดับการอนุญาตที่แตกต่างกัน บริการชั้นนำอย่าง 1Password ให้คุณสามารถสร้างที่เก็บรหัสผ่านและเลือกสมาชิกในทีมที่สามารถเข้าถึงที่เก็บรหัสผ่านได้ มันสะดวกมากสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีทีมและแผนกมากมายและ Dashlane ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถแบ่งปันรหัสผ่านเฉพาะกับสมาชิกในทีมได้ (และยังสามารถเพิกถอนการเข้าถึงรหัสผ่านได้ตลอดเวลา)
สุดท้ายเครื่องมือจัดการรหัสผ่านของธุรกิจจะต้องมีฟีเจอร์และนโยบายด้านความปลอดภัยขั้นสูง เช่น การตั้งค่า 2FA สำหรับพนักงาน การตรวจสอบบัญชีและกิจกรรมของพนักงานและการเลือกข้อกำหนดในการลงชื่อเข้าใช้ (เช่น LastPass ช่วยให้คุณสร้างขอบเขตตำแหน่งของสำนักงานเพื่อให้พนักงานไม่สามารถเข้าสู่ระบบบัญชีงานของพวกเขาได้หลังจากออกจากสำนักงานไปแล้ว)
คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจทุกขนาดได้ที่นี่
แบรนด์ดังที่ไม่ได้อยู่ในรายการ
- TrueKey แม้ว่าจะมีเจ้าของเป็น McAfee ยักษ์ใหญ่ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ แต่ TrueKey ยังขาดฟีเจอร์หลาย ๆ อย่างที่แบรนด์อื่นในรายการนี้นำเสนอ รวมถึงการตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่านและการแบ่งปันรหัสผ่าน นอกจากจะเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ทำอะไรไม่ได้มากแล้ว TrueKey ยังมีบัคค่อนข้างมากในการทดสอบของฉัน
- NordPass. NordPass เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัยและใช้งานง่าย มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษมากมาย แต่น่าเสียดายที่ฟีเจอร์พิเศษของบริการใช้งานไม่ได้เหมือนกับที่คู่แข่งนำเสนอและฟีเจอร์การบันทึกอัตโนมัติของมันก็ทำงานได้ไม่ดีเท่าไหร่บนอุปกรณ์มือถือ
- ZohoVault ZohoVault เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านของธุรกิจที่ดี มาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยและการจัดการรหัสผ่านสำหรับทีมที่ดี แต่อย่างไรก็ตามมันถูกสร้างมาสำหรับธุรกิจ จึงไม่เหมาะสำหรับการใช้งานโดยทั่วไปหรือครอบครัว
- PassCamp แม้ว่า PassCamp จะปลอดภัย ใช้งานง่ายและมีราคาถูก บริการมีแต่ฟีเจอร์พื้นฐานสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ มีฟีเจอร์พิเศษที่ไม่จำเป็นอยู่ 2-3 อย่าง ไม่มีฟีเจอร์ที่สำคัญ เช่น การตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน การตรวจสอบดาร์กเว็บหรือการเข้าถึงฉุกเฉิน
คำถามที่พบบ่อย
จะปลอดภัยไหมถ้าฉันเก็บรหัสผ่านทั้งหมดของฉันไว้ในเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน?
แน่นอน เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้นั้นมีการเข้ารหัสแบบ 256-bit AES ซึ่งจะทำให้รหัสผ่านทั้งหมดของคุณ รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ในคลังรหัสผ่านไม่สามารถถูกอ่านได้ถ้าไม่มีคีย์การเข้ารหัสของคุณ — ซึ่งก็คือรหัสผ่านหลักของคุณ นอกจากนี้ยังมีนโยบายความปลอดภัยแบบ zero-knowledge อีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจว่าจะไม่มีใคร (รวมถึงผู้พัฒนาเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน) ที่จะเข้าไปถอดรหัสเพื่อดูรหัสผ่านของคุณได้
บริการที่ฉันแนะนำ อย่าง 1Password และ Dashlane มีการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) ซึ่งเป็นการรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่งที่ใช้การยืนยันตัวตนของคุณ (เช่น คุณอาจต้องป้อนรหัสภายในเวลาที่กำหนด) 2FA สามารถใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยทั้งห้องที่เก็บรหัสผ่านและรหัสผ่านของคุณ
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านของฉันสามารถถูกแฮกได้หรือไม่
มันเกิดขึ้นได้ยากมาก เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้ใช้การเข้ารหัส AES 256-bit ที่แข็งแกร่งหรือวิธีการเข้ารหัสที่เทียบเท่า ดังนั้นแฮ็กเกอร์จึงต้องการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังเป็นพิเศษเพื่อขโมยข้อมูลของคุณ แม้ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ อาจจะได้ไปแค่ชิ้นส่วนข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่ไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้อีก
อย่างไรก็ตามหากรหัสผ่านหลักของคุณอ่อนแอและสามารถเดาได้ง่าย แสดงว่าคุณกำลังทำลายจุดประสงค์ทั้งหมดของเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน ในกรณีนั้น ใช่ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านสามารถถูกละเมิดได้ (แต่ไม่ใช่การ “แฮ็ค”) แต่ถ้าคุณใช้โปรแกรมสร้างรหัสผ่านที่ปลอดภัยและเปลี่ยนรหัสผ่านหลักทุก ๆ 6 เดือนสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านเหมือนกันทั้งหมดหรือเปล่า
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านชั้นนำจำนวนมากมีฟีเจอร์ที่คล้ายคลึงกัน เช่นการบันทึกและจัดเก็บรหัสผ่านอย่างปลอดภัย การสร้างรหัสผ่านใหม่และการซิงค์ระหว่างอุปกรณ์หลายเครื่อง แต่มีหลายสิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่าง ความง่ายในการใช้งาน, วิธีการเข้ารหัส, ตัวเลือกการยืนยันหลายขั้นตอน, ส่วนเสริมเบราเซอร์, แอพพลิเคชั่นสำหรับเดกส์ทอป/มือถือและความคุ้มค่าโดยรวมอาจแตกต่างกันอย่างมากระหว่างเครื่องมือจัดการรหัสผ่านต่าง ๆ
Dashlane มีการรักษาความปลอดภัยระดับสูงสุด ความง่ายในการใช้งานระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ และแม้แต่ VPN 1Password มีฟีเจอร์มากมาย แอปที่ใช้งานง่ายและแผนที่ยอดเยี่ยมสำหรับครอบครัว RoboForm มีฟีเจอร์การกรอกแบบฟอร์มขั้นสูงสุด ในขณะที่ Keeper มีพื้นที่เก็บข้อมูลที่ปลอดภัยมากมายและ Sticky Password จะมอบรายได้ส่วนหนึ่งให้กับ Save the Manatee Club!
เหตุใดฉันจึงควรใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านมีประโยชน์มากมาย:
- การสร้างรหัสผ่าน – ถ้าคุณเป็นเหมือนฉัน คุณจะมีรหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกันเกือบ 100 รายการ แต่ละรหัสผ่านควรไม่ซ้ำกันโดยไม่มีคำหลักหรือรูปแบบที่คล้ายกัน เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทำงานร่วมกับเครื่องมือสร้างรหัสผ่านสามารถเพิ่มความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ได้ในไม่กี่วินาที – Dashlane ยังมีเครื่องมือเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติที่แทนที่รหัสผ่านที่อ่อนแอทั้งหมดของคุณได้ด้วยคลิกเดียว
- ความสะดวกสบาย – มันต้องใช้เวลานับไม่ถ้วนในชีวิตในการลืมและพยายามจำรหัสผ่านและต้องเปลี่ยนรหัสผ่านใหม่ การใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านเป็นการประหยัดเวลาได้อย่างมาก
- ความปลอดภัย – เครื่องมือจัดการรหัสผ่านป้องกันไม่ให้ผู้บันทึกรหัสผ่านและหน้าจอที่เฝ้าดูคุณพิมพ์รหัสผ่านบนหรือหน้าจอได้ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่ยังมีการแบ่งปันข้อมูลที่ปลอดภัยระหว่างผู้ใช้ บางบริการที่มีตรวจสอบดาร์กเว็บสำหรับการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล อย่างเช่น Dark Web Monitoring ของ Dashlane, Watchtower ของ 1Password และ BreachWatch ของ Keeper
บริษัทเครื่องมือจัดการรหัสผ่านสามารถดูรหัสผ่านของฉันได้หรือไม่
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับชั้นนำทั้งหมดมีโปรโคตอลการไม่จดจำข้อมูลซึ่งหมายความว่าข้อมูลของคุณจะถูกเข้ารหัสก่อนที่จะเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของพวกเขา ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะอ่านรหัสผ่านของคุณ
แม้ว่าคุณจะยังไม่ไว้วางใจบริษัท แต่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านจำนวนมากก็นำเสนอพื้นที่เก็บข้อมูลในเครื่อง ดังนั้นรหัสผ่านจะไม่ต้องเดินทางออกจากอุปกรณ์ของคุณ — 1Passwordและ Sticky Password นั้นเป็นสองแบรนด์ที่นำเสนอพื้นที่จัดเก็บในตัวเครื่อง
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านติดตามและขายข้อมูลของฉันหรือไม่
ไม่ มันเป็นไปไม่ได้ที่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านจะติดตามและขายข้อมูลของคุณหากบริการนั้นไม่จัดเก็บและไม่เข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งาน ซึ่งเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีอย่าง Dashlane และ 1Password ดำเนินงานตามนี้
การไม่บันทึกและเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของคุณหมายความว่าข้อมูลของคุณจะได้รับการเข้ารหัสก่อนที่จะถึงเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท เครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับชั้นนำใช้การเข้ารหัส AES 256-bit ซึ่งเป็นการเข้ารหัสประเภทเดียวกับที่ธนาคารและกองทัพทั่วโลกใช้ มันไม่สามารถถูกเจาะได้ วิธีเดียวที่จะถอดรหัสข้อมูลผู้ใช้คือการใช้คีย์เข้ารหัส ในกรณีนี้คือรหัสผ่านหลักของคุณ ซึ่งมีเพียงคุณเท่านั้นที่เข้าถึงได้
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านมีข้อเสียหรือไม่
ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของการใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านคือการเกิดความล้มเหลวได้จากเพียงจุดเดียว ซึ่งหมายความว่าหากมีใครขโมยรหัสผ่านหลักของคุณ พวกเขาจะสามารถเข้าถึงรหัสผ่านและข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ของคุณในที่เก็บรหัสผ่านได้ (เช่น บัตรเครดิต)
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการสร้างรหัสหลักที่รัดกุมจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่นอกเหนือจากการสร้างรหัสผ่านหลักที่ซับซ้อนและไม่ซ้ำกันแล้ว คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เปิดใช้งานการยืยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) สำหรับการลงชื่อเข้าใช้ในที่เก็บรหัสผ่านของคุณ 2FA ใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอนเพื่อยืนยันตัวตน ตัวอย่างเช่น รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวที่ส่งไปยังโทรศัพท์มือถือของคุณ
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบางบริการ เช่น Dashlane ยังรองรับการเข้าสู่ระบบด้วยไบโอเมตริก ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถลงชื่อเข้าใช้ที่เก็บรหัสผ่านด้วยลายนิ้วมือหรือใบหน้าได้
พื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ vs บนอุปกรณ์: ที่ไหนปลอดภัยกว่า
พื้นที่เก็บข้อมูลบนอุปกรณ์นั้นปลอดภัยกว่า แต่ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน เมื่อคุณซิงค์รหัสผ่านในเครื่อง ข้อมูลของคุณจะไม่มีวันออกจากอุปกรณ์ของคุณจริง แต่การซิงค์รหัสผ่านของคุณในอุปกรณ์ ๆ นั้นทำได้ยาก (หรือไม่สะดวก) แบรนด์ชั้นนำอย่าง 1Password นำเสนอตัวเลือกให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะเก็บรหัสผ่านไว้ในเครื่องหรือบนเซิร์ฟเวอร์
ในทางกลับกัน เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบนคลาวด์อย่าง Dashlane ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัยมากในการจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้ที่ถูกเข้ารหัสอีกที (ข้อมูลจะถูกเข้ารหัสโดยใช้การเข้ารหัสระดับเดียวกับทางการทหาร ซึ่งไม่สามารถเจาะผ่านได้) และเนื่องจากข้อมูลผู้ใช้อยู่ในระบบคลาวด์ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านจะซิงค์รหัสผ่านทั้งหมดของคุณโดยอัตโนมัติ ดังนั้นคุณจึงสามารถเข้าถึงพื้นที่จัดเก็บรหัสผ่านของคุณได้อย่างง่ายดายและสะดวกบนอุปกรณ์และเดสก์ท็อปทั้งหมดของคุณ
ทำไมฉันถึงไม่ควรเก็บรหัสผ่านในเบราเซอร์
แม้ว่าการจัดเก็บรหัสผ่านในเบราว์เซอร์ของคุณอาจสะดวก แต่ก็อาจเป็นอันตรายได้ เนื่องจากใครก็ตามที่เข้าถึงอุปกรณ์ของคุณ ก็สามารถเข้าถึงรหัสผ่านของคุณได้อย่างง่ายดายเช่นกัน อาชญากรไซเบอร์สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ของคุณจากระยะไกลผ่านมัลแวร์และการโจมตีทางไซเบอร์ประเภทอื่น ๆ และยังมีอันตรายจากการถูกขโมยอุปกรณ์อีกด้วย
แต่เมื่อคุณใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน อย่าง Dashlane หรือ 1Password รหัสผ่านทั้งหมดของคุณจะถูกเข้ารหัสในระดับ AES 256-bit (เป็นการเข้ารหัสประเภทเดียวกับที่ธนาคารและกองทัพใช้) และจะไม่มีใครสามารถเข้าถึงรหัสผ่านของคุณได้หากไม่มีรหัสผ่านหลัก เครื่องมือจัดการรหัสผ่านชั้นนำทั้งหมดมีนโยบายการไม่บันทึกข้อมูล ซึ่งหมายความว่าไม่มีใครรู้รหัสผ่านหลักของคุณ แม้แต่เจ้าหน้าที่ด้านเทคนิค
นอกจากนี้เมื่อคุณใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน คุณสามารถซิงค์รหัสผ่านของคุณในทุกเบราว์เซอร์และระบบปฏิบัติการ ดังนั้นรหัสผ่านทั้งหมดของคุณจะพร้อมให้คุณใช้งานได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ นอกจากนี้ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบสแตนด์อโลนยังมาพร้อมกับฟีเจอร์เศษมากมายที่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบนเบราว์เซอร์ขาดไป รวมถึงการแบ่งปันรหัสผ่าน การตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน การตรวจสอบการละเมิดข้อมูลและการเข้าถึงฉุกเฉิน
จะสร้างรหัสผ่านหลักที่ดีได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่าจะมีแนวปฏิบัติในการสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่งที่บอกว่าคุณควรจะใช้ทั้งตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ และก็มีตัวเลขอย่างน้อยหนึ่งตัว พร้อมสัญลักษณ์หนึ่งแบบ และให้ตั้งอย่างน้อย 8-10 ตัวอักขระ แต่ฉันอยากจะแนะนำให้คุณสร้าง passphrase ที่จดจำง่ายแทน
Passphrase คือรหัสผ่านที่ง่ายต่อการจดจำ แต่ยากที่จะแกะเดาได้ — ซึ่งจะเป็นสตริงของคำสุ่มรวมถึงอักขระต่าง ๆ แต่แทนที่คุณจะเลือกคำสุ่มที่คุณเองก็อาจจะลืมได้นั้น จะดีกว่าถ้าคุณตั้งรหัสผ่านหลักที่มีความหมายอะไรบางอย่างกับคุณเช่น “mycatDoraloveshernewcattree” หรือ “myhockeyteamwon1stprizeinApril19”
คุณสามารถใช้ passphrase สำหรับบัญชีออนไลน์ของคุณได้ด้วย มีตัวสร้างรหัสผ่านไม่มากที่จะมีตัวเลือกในการสร้าง passphrase แต่ 1Password มี และ LastPass ก็มีตัวเลือกให้คุณสร้างรหัสผ่านที่ “ง่ายในการอ่าน” และ “ง่ายในการพูด”
สำคัญ: เวลาที่คุณใช้งานเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน รหัสผ่านหลักคือรหัสผ่านเดียวที่คุณต้องจำให้ได้ มันจะถูกใช้เพื่อถอดรหัสของรหัสผ่านทั้งหมดในคลังของคุณ และถ้าคุณทำมันสูญหาย คุณก็อาจจะไม่สามารถกู้คืนคลังของคุณได้อีกเลย