มีเวลาไม่พออ่านรีวิวทั้งหมดใช่ไหมล่ะ นี่คือรายการเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ 2021:
- 🥇 Dashlane: ความปลอดภัยที่ไม่มีใครเทียบเท่า พื้นที่การจัดเก็บที่มีการใส่รหัส การนำเข้ารหัสผ่านในคลิกเดียว การเปลี่ยนรหัสผ่านภายในคลิกเดียว การตรวจสอบดาร์กเว็บและ VPN ฟรี ใส่รหัสคูปองSAFETYD25ตอนเช็คเอาท์เพื่อรับส่วนลด 25%
ฉันได้ทดสอบ52 เครื่องมือจัดการรหัสผ่านหลายรายการเพื่อค้นหาตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับปี 2021 ฉันพบ 10 บริการที่ดีที่สุด — ซึ่งใช้งานได้ง่าย มีฟีเจอร์มากมาย ความปลอดภัยสูงและมีทั้งบริการฟรีและราคาถูกสุด ๆ (ส่วนลดสุดพิเศษ)
ในขณะที่ฉันกำลังเขียนรายการนี้ฉันรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าบริการความปลอดภัยทางอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่หลายบริการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ ซับซ้อนเกินไปและมีราคาแพงเกินไป แต่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านในรายการนี้มีการรักษาความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม ใช้งานง่ายมากและมีฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มากมายในราคาที่ดี
อย่างเช่น:
- การเข้ารหัสข้อมูลที่แข็งแกร่ง
- การกรอกรหัสผ่านอัตโนมัติ
- การยืนยัน 2 ขั้นตอน (2FA)
- การซิงค์ในหลายอุปกรณ์
- และอื่น ๆ อีกมากมาย…
ฉันเปรียบเทียบเครื่องมือจัดการรหัสผ่านชั้นนำในตลาดและจัดอันดับตามความปลอดภัยในการใช้งาน ฟีเจอร์เพิ่มเติมและความคุ้มค่าโดยรวมเพื่อค้นหาเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ 2021
นี่คือสิ่งที่ฉันได้พบ
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดใน 2021:
- 1.🥇 Dashlane — มีความปลอดภัยสูง ใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์มากมายครบครัน
- 2.🥈 RoboForm — บริการราคาต่ำที่มาพร้อมกับเครื่องมือกรอกฟอร์มอัตโนมัติที่ทรงพลัง
- 3.🥉 NordPass — ใช้งานได้ง่ายและมาพร้อมกับอินเทอร์เฟซที่คล่องตัว
- 4. 1Password — ตัวเลือกที่ใช้งานง่าย ราคาถูกและยอดเยี่ยมสำหรับครอบครัว
- 5. LastPass — แผนใช้งานฟรีที่ดี แผนแบบชำระเงินที่มีฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูง
- เครื่องมือจัดการรหัสผ่านอันดับ 6-10 แห่งปี 2021
- ตารางเปรียบเทียบเครื่องมือระดับชั้นนำทั้งหมด
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน
ฉันให้คะแนนเครื่องมือจัดการรหัสผ่านในปี 2021อย่างไร
- ความปลอดภัย ฉันมองหาเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้การเข้ารหัส AES 256-bit มีโปรโตคอล zero-knowledge นำเสนอการยืนยัน 2 ขั้นตอน (2FA) หรือการยืนยันแบบหลายปัจจัย (MFA) และมาพร้อมกับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมเพื่อให้การจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัย 100%
- ฟีเจอร์ แตกต่างกันมากมาย รวมถึงการกรอกแบบฟอร์ม การแบ่งปันรหัสผ่านที่ปลอดภัย การจัดเก็บไฟล์ การตรวจสอบดาร์กเว็บและบางครั้งก็นำเสนอ VPN – ฉันได้ทดสอบฟีเจอร์ทั้งหมดเหล่านี้เพื่อดูว่าฟีเจอร์ใดที่มอบความคุ้มค่าให้ที่แท้จริงและฟีเจอร์ใดที่เป็นแค่โฆษณาล่อใจ
- ความง่ายในการใช้งาน เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีควรใช้งานได้สะดวก ฉันตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้เข้าใจ เข้าถึงและใช้งายได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งสำหรับผู้ใช้ระดับเริ่มต้นและผู้ที่ไม่ได้มีความรู้ด้านเทคนิค
- การสนับสนุนลูกค้า ฉันติดต่อทีมงานสนับสนุนลูกค้าในทุกช่องทางที่พวกเขานำเสนอและจัดอันดับระบบสนับสนุน ฉันจัดอันดับระบบสนับสนุนของแต่ละบริษัทในแง่ของความเป็นประโยชน์ เวลาในการตอบกลับ ประเภทของการสนับสนุนที่มีให้และภาษาที่ให้บริการ
- ความคุ้มค่า เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดที่ฉันแนะนำนำเสนอการจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัย ในราคาที่เหมาะสม และคุณสามารถทดลองใช้งานบริการเกือบทั้งหมดนี้ได้ฟรีหรือจากการการันตีคืนเงิน
🥇1. Dashlane — เครื่องมือการจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดโดยรวม

Dashlane เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ฉันชอบที่สุดใน 2021 — มันมีความปลอดภัยสูง ใช้งานได้ง่ายและยังมีฟีเจอร์ที่ครอบคลุม
Dashlane ปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ให้ปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสแบบ AES 256-bit encryption, โปรโตคอล zero-knowledge, การยืนยันแบบ 2FA (รวมถึงรหัสผ่านระบบไบโอเมตริก ) — ฟีเจอร์ความปลอดภัยเหล่านี้จะช่วยให้ไม่มีใครสามารถเข้าถึงรหัสหรือข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของคุณได้
Dashlane นำเสนอเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานได้ง่ายสำหรับทุกอุปกรณ์ ระบบปฏิบัติการและบราวเซอร์ ในระหว่างการทดสอบของฉัน Dashlane ทำงานได้ดีเป็นพิเศษในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นส่วนขยายเบราว์เซอร์สำหรับ Firefox และ Chrome รวมถึงแอพพลิเคชั่นเดสก์ท็อปและอุปกรณ์เคลื่อนที่ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันได้รับประสบการณ์การจัดการรหัสผ่านที่น่าเชื่อถือและใช้งานง่ายมากกว่าบริการจากเครื่องมือจัดการรหัสผ่านอื่น ๆ ในรายการนี้ Dashlane สร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ซิงค์ข้อมูลในแต่ละอุปกรณ์ทันทีและกรอกข้อมูลอัตโนมัติอย่างแม่นยำ แม้กระทั่งในเว็บฟอร์มขั้นสูง
Dashlane มาพร้อมกับ:
- การเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติ
- VPN (ไม่จำกัดข้อมูล)
- การควบคุมดาร์กเว็บ
- การแบ่งปันรหัสผ่าน
- การตรวจสอบความแข็งแกร่งของอุปกรณ์
- การเข้าถึงอัตโนมัติ
- ที่จัดเก็บไฟล์ที่ปลอดภัย (1 GB)
- และอื่น ๆ อีกมากมาย…
ฟีเจอร์ทั้งหมดของ Dashlane นั้นเป็นประโยชน์อย่างมาก ใช้งานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะฟีเจอร์การเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติของ Dashlane — ซึ่งมันจะตรวจสอบที่เก็บรหัสผ่านทั้งหมดของคุณและเปลี่ยนรหัสผ่านที่คาดเดาได้ง่ายของคุณในเว็บไซต์มากกว่า 300 แห่งให้กลายเป็นรหัสผ่านที่แข็งแกร่งและไม่สามารถตรวจสอบได้
Dashlane เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านเดียวในตลาดที่มาพร้อมกับ VPN — และ Dashlane VPN นั้นเร็วกว่า VPN จากบริการเฉพาะของมันด้วยซ้ำไป ในการทดสอบของฉัน Dashlane VPN นั้นสามารถเข้ารหัสและปลดล็อคเนื้อหาที่ถูกจำกัดการเข้าถึงโดยที่ไม่ได้ทำให้อินเตอร์เน็ตช้าลงเลย — แม้ว่าฉันจะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ไกลก็ตาม!
Dashlane Free มาพร้อมกับฟีเจอร์การเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติ, 2FA แบบพื้นฐานและการแบ่งปันรหัสผ่านที่มีการจำกัด (5 บัญชี) แผนการใช้งานฟรีนำเสนอพื้นที่การจัดเก็บเพียงแค่ 50 รหัสผ่านและสามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์เดียว ดังนั้นมันอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับใครหลาย ๆ คน Dashlane Premium นำเสนอพื้นที่จัดเก็บรหัสผ่านแบบไม่จำกัด, สามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์ไม่จำกัด, คุณสามารถแบ่งปันรหัสผ่านได้ไม่จำกัด, มี VPN และการตรวจสอบดาร์กเว็บและฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย Dashlane Premium Family นั้นนำเสนอฟีเจอร์เหมือนกับบริการ Premium แต่คุณสามารถเพิ่มบัญชีอื่น ๆ ได้อีก 5 บัญชีและมีแดชบอร์ดการจัดการบัญชีครอบครัว
และคุณสามารถรับส่วนลด 25% ได้เมื่อคุณกรอก SAFETYD25 ลองในส่วนเช็คเอาท์
สรุป:
Dashlane มันเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดที่ฉันทดสอบมา มันปลอดภัยใช้งานได้ง่ายและมีฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์มากมาย อย่างเช่น การเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติ, การตรวจสอบดาร์กเว็บ, 2FA และอื่น ๆ อีกมากมาย และยังเป็นบริการเครื่องมือจัดการรหัสผ่านเดียวที่นำเสนอ VPN! Dashlane Free นั้นมีบริการทดลองใช้งานฟรีจากแผน Premium และทุกการซื้อบริการของ Dashlane มาพร้อมกับการการันตีกลางคืนเงิน 30 วัน
อ่านรีวิวตัวเต็มของ Dashlane >
🥈2. RoboForm — มีความสามารถในการกรอกแบบฟอร์มอัตโนมัติที่ยอดเยี่ยม

RoboForm มีความสามารถในการกรอกแบบฟอร์มอัตโนมัติที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยทดสอบมา — มันสามารถกรอกแบบฟอร์มอัตโนมัติได้อย่างแม่นยำ แม้แต่แบบฟอร์มที่มีความซับซ้อนได้ในแค่คลิกเดียว
ด้วย RoboForm คุณสามารถสร้าง “ตัวตน” สำหรับแบบฟอร์มบนเว็บไซต์ด้วยประเภทข้อมูล 8 แบบ รวมถึงหนังสือเดินทาง บัตรเครดิตและข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ ในระหว่างการทดสอบของฉันฉันสามารถกรอกแบบฟอร์มได้ในทุกแบบ — ตั้งแต่แบบฟอร์มขั้นพื้นฐาน อย่างเช่นรหัสผ่านเข้าโซเชียลมีเดียไปจนถึงแบบฟอร์มออนไลน์ขั้นสูง โดยที่ไม่มีข้อผิดพลาดหรือช่องไหนที่ขาดหายไปเลย
RoboForm มาพร้อมกับ:
- ตัวเลือก 2FA ที่หลากหลาย
- การตรวจสอบความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน
- การแบ่งปันบันทึกและรหัสผ่านที่ปลอดภัย
- การบันทึกบุ๊คมาร์คที่ปลอดภัย
ฉันชอบตัวเลือก 2FA ของ RoboForm — ในการทดสอบของฉัน RoboForm สามารถทำงานร่วมกับเครื่องมือยืนยันของ Google ได้และฉันไม่มีปัญหากับการใช้การลงชื่อเข้าใช้แบบไบโอเมตริกกับบัญชีใด ๆ บน RoboForm เลย อย่าไรก็ตามฉันไม่ชอบที่ RoboForm ไม่สนับสนุนเครื่องมือ USB 2FA อย่างเช่น YubiKey (ไม่เหมือน Dashlane)
ฟีเจอร์ทั้งหมดของ RoboForm สามารถใช้งานได้ดี แต่ฟีเจอร์ที่ฉันชอบมากที่สุดคือฟีเจอร์จัดเก็บบุ๊คมาร์คที่ปลอดภัย ฟีเจอร์ที่โดดเด่นนี้ช่วยให้ฉันสามารถบันทึกและซิงค์บุ๊คมาร์กจากเดกส์ทอปเบราเซอร์ไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ติดตั้ง RoboForm (เช่นมือถือ) — ดังนั้นฉันจึงสามารถเข้าถึงเว็บไซต์โปรดของฉันได้ ไม่ว่าฉันจะใช้อุปกรณ์หรือบราวเซอร์ใดอยู่ก็ตาม!
RoboForm Free มีฟีเจอร์กรอกข้อมูลอัตโนมัติ การตรวจสอบความแข็งแกรงของรหัสผ่านและการจัดเก็บรหัสผ่านที่ปลอดภัย RoboForm Everywhere ให้คุณสามารถซิงค์บนอุปกรณ์ได้ไม่จำกัด, 2FA และการสำรองข้อมูลบน cloudRoboForm Everywhere Family มีฟีเจอร์แบบเดียวกันแต่คุณสามารถเพิ่มผู้ใช้อื่น ๆ ได้อีก 5 คน
สรุป:
RoboForm เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่มีฟีเจอร์การกรอกฟอร์มที่ดีที่สุด RoboForm มีฟีเจอร์เพิ่มเติมอย่าง 2FA, การตรวจสอบความแข็งแกร่งของอุปกรณ์, การจัดเก็บบุ๊คมาร์กที่ปลอดภัย, พื้นที่จัดเก็บแบบ cloud และอื่น ๆ อีกมากมาย แผนการใช้งานฟรีของ RoboForm มาพร้อมกับการทดลองใช้งาน 30 วันของแผน Everywhere ของ RoboForm ทุกการซื้อบริการของ RoboForm มีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
อ่านรีวิวตัวเต็มของ RoboForm >
🥉3. NordPass — ใช้งานได้ง่ายและมาพร้อมกับอินเทอร์เฟซที่คล่องตัว

NordPass เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านยอดเยี่ยม — มันไม่ได้มีฟีเจอร์ที่เยอะแยะมากมายอะไรนัก แต่มันนำเสนอความปลอดภัยในการปกป้องรหัสผ่านด้วยอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ใช้มือใหม่และคนที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิค
NordPass ใช้ระบบการเข้ารหัสขั้นสูง XChaCha20 — อัลกอริทึมแบบเดียวที่ Google ใช้และโปรโตคอล zero-knowledge ที่แม้แต่ทีมงานของ NordPass ก็ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ NordPass นำเสนอการยืนยันหลายปัจจัยรวมทั้งการยืนยันด้วยใบหน้าและลายนิ้วมือบนอุปกรณ์มือถือ
นอกเหนือจากฟีเจอร์พื้นฐานอย่างการกรอกข้อมูลอัตโนมัติและการสร้างรหัสผ่านแล้ว NordPass ยังมีฟีเจอร์เพิ่มเติมอย่างเช่น:
- การตรวจสอบความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน
- การแบ่งปันรหัสผ่าน
- การควบคุมดาร์กเว็บ
- การซิงค์ในหลายอุปกรณ์
NordPass เป็นบริการจากบริษัทความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ตชื่อว่า NordVPN (นำเสนอหนึ่งใน VPN ระดับชั้นนำ) NordPass นั้นเป็นบริการที่ค่อนข้างใหม่และมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาตลอดเวลา เช่นการกรอกข้อมูลส่วนบุคคลอัตโนมัติและตัวเลือกการปรับแต่ง UI ต่าง ๆ แต่ไม่มีฟีเจอร์เพิ่มเติมเยอะเท่ากับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านขั้นสูงอย่างที่ Dashlane มี แม้ NordPass ขาดในด้านฟีเตอร์พิเศษ แต่มันก็มอบประสบการณ์การใช้ที่เรียบง่ายและคล่องตัว ในระหว่างการทดสอบฉันไม่มีปัญหาในการเพิ่มรหัสผ่าน สร้างรหัสใหม่และบันทึกรหัสผ่านใหม่บนส่วนขยายเบราว์เซอร์ของ NordPass ทั้งบนเดสก์ท็อปหรือแอพพลิเคชั่นบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ บริการนี้สามารถมอบประสบการณ์การจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดได้และมันยังมาในราคาที่ค่อนข้างต่ำ
NordPass นำเสนอบริการฟรีแต่สามารถใช้งานได้แค่บนอุปกรณ์เดียว การอัพเกรดเป็น NordPass Premium นั่นให้คุณสามารถปกป้องได้บน 6 อุปกรณ์และสามารถแบ่งปันรหัสผ่านได้ไม่จำกัด NordPass Family มีฟีเจอร์แบบเดียวกัน แต่คุณสามารถเพิ่มสมาชิกได้อีก 6 คน
สรุป:
NordPass มีอินเตอร์เฟซการใช้งานที่สวยงามและใช้งานได้ง่าย ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่มองหาความเรื่องง่ายและการใช้งานที่ง่ายดาย NordPass ใช้วิธีการเข้ารหัสที่แข็งแกร่งที่สุด (วิธีเดียวกับ Google!), โปรโตคอล zero-knowledge และ MFA NordPass ไม่ได้นำเสนอปีตั้งมากมายนัก แต่การสร้างและการบันทึกรหัสผ่านใหม่และแบ่งปันกับผู้ใช้คนอื่น ๆ นั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดายi คุณสามารถลองใช้ NordPassด้วยตัวคุณเองด้วยการรับประกันคืนเงิน 30 วัน
อ่านรีวิวตัวเต็มของ NordPass >
4. 1Password — ตัวเลือกที่ใช้งานง่าย ราคาถูกและยอดเยี่ยมสำหรับครอบครัว

1Passwordเป็นหนึ่งในเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานง่ายมากที่สุดที่ฉันเคยเจอมา อินเตอร์เฟซนั้นดูสว่าง เรียบง่ายและใช้งานได้ง่ายมาก ๆ และ 1Password ก็มีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมมากมายอย่างเช่น:
- Watchtower การแสกนดาร์กเว็บและฐานข้อมูลสาธารณะสำหรับการละเมิดรหัสผ่านและข้อมูลด้านการเงิน การตรวจสอบความปลอดภัยของที่เก็บข้อมูลและการสร้างรหัสผ่านความปลอดภัยสูง
- การยืนยันตัวตนในตัว การสร้างรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวเพื่อทำให้การใช้ 2FA ในการลงชื่อเข้าใช้นั้นแข็งแกร่งมากขึ้น
- 2FA ซิงค์กับแอพพลิเคชั่นรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวเช่น Authy, คีย์ USB เช่น YubiKey และ Fido และเครื่องสแกนไบโอเมตริกซ์ (ใบหน้า ลายนิ้วมือและดวงตา) สำหรับ Windows, Android และ iOS
- โหมดเดินทาง ซ่อนรหัสผ่านที่ละเอียดอ่อนจากที่เก็บรหัสผ่าน ดังนั้นการตรวจสอบที่ชายแดนประเทศจึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้
- ตัวเลือกการจัดเก็บข้อมูลในเครื่อง ซิงค์คอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ Android หรือ iOS ผ่านเครือข่ายไร้สายภายในโดยใช้เซิร์ฟเวอร์ WLAN
1Password ยังมี แผนครอบครัวที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย — การสมัครสมาชิกหนึ่งครั้งสามารถใช้งานได้กับสมาชิก 5 คนและคุณสามารถเชิญสมาชิกใหม่ได้โดยต้องเพิ่มค่าธรรมเนียมเล็กน้อย สิ่งนี้ดีกว่าคู่แข่งมาก — แบรนด์ต่างๆเช่น Dashlane และ LastPass มีข้อ จำกัดว่าสามารถแบ่งปันการใช้งานกับสมาชิกได้กี่คน และฟังก์ชั่นการแบ่งปันที่เก็บรหัสที่ใช้งานง่ายของ 1Password นี้ทำให้การแบ่งปันรหัสผ่านระหว่างสมาชิกในครอบครัวเป็นเรื่องง่ายมาก ในขณะเดียวกันก็รักษาบัญชีส่วนตัวไว้ให้เป็นส่วนตัว (มีที่เก็บแยกกัน คือที่เก็บแบบ “แบ่งปัน” และที่เก็บแบบ “ส่วนตัว”)
1Password ไม่มีเวอร์ชันฟรี แต่มีแผนสำหรับบุคคล ครอบครัวและ ธุรกิจที่มอบฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมมากมาย แต่น้อยกว่าคู่แข่งเช่น Keeper และ Dashlane และยังมีบัญชีทดลองใช้งาน 14 วัน เพื่อช่วยคุณตัดสินใจว่า 1Password เหมาะกับคุณหรือไม่
สรุป:
1Password เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัยและใช้งานง่าย ที่มาพร้อมอินเทอร์เฟซที่ยอดเยี่ยมและใช้งานง่าย และฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่นการสแกนดาร์กเว็บ การเข้าสู่ระบบไบโอเมตริกซ์และการยืนยันตัวตนในตัวล้วนที่ช่วยให้รหัสผ่านปลอดภัย 100% 1Password ยังมีหนึ่งในแผนสำหรับครอบครัวที่ดีที่สุด ในแง่ของการใช้งานและความคุ้มค่าโดยรวม — ฉันไม่มีปัญหาในการแบ่งปันรหัสผ่านที่สำคัญกับครอบครัวของฉัน ในขณะเดียวกันมันก็จำกัดการเข้าถึงบัญชีส่วนตัวด้วย และ 1Password นำเสนอการทดลองใช้ฟรี 30 วันสำหรับแผนทั้งหมดของพวกเขา
อ่านรีวิวตัวเต็มของ 1Password >
5. LastPass — แผนบริการฟรีที่ดีที่สุด

LastPass มีบริการที่ปลอดภัย เต็มไปด้วยฟีเจอร์ที่ใช้งานได้อย่างง่ายดายและมีแผนใช้งานฟรีที่ยอดเยี่ยม — LastPass Free เป็นหนึ่งในบริการจัดการรหัสผ่านที่หาได้ยากที่ให้ผู้ใช้สามารถจัดเก็บรหัสผ่านได้ไม่จำกัด (แต่จำกัดจำนวนปกรณ์) และแบ่งปันรหัสผ่านได้ไม่จำกัด (ผู้ใช้ 1 คน)
LastPass Free ยังมี:
- การเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติ
- ตัวเลือก MFA พื้นฐาน
- การตรวจสอบความแข็งแกร่งของอุปกรณ์
- พื้นที่จัดเก็บบันทึกที่ปลอดภัย
ฉันชอบที่ LastPass มีฟีเจอร์การเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติในแผนการใช้งานฟรี — ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ฉันสามารถเปลี่ยนรหัสผ่านในกว่า 70 เว็บไซต์ได้ในเพียงแค่คลิกเดียว ในขณะที่ฟีเจอร์นี้ใน Dashlane สามารถครอบคลุมจำนวนเว็บไซต์ได้มากกว่าและใช้งานได้ง่ายกว่า แต่ว่าเครื่องมือของ LastPass นั้นก็ถือว่าใช้งานได้ดีมากพอสมควร
ฉันชอบตัวเลือก MFA ของ LastPass— ที่สามารถซิงค์กับเครื่องมือยืนยันในตัวของ LastPass และเครื่องมือยืนยันตัวตนของบุคคลที่สามอย่างเช่น Google และ Microsoft ได้ แผนชำระเงินของ LastPass นั้นมีตัวเลือก MFA ขั้นสูงนำเสนอมากมายเช่น YubiKey, Sesame และการยืนยันตัวตนโดยใช้ลายนิ้วมือ
นอกเหนือจาก MFA ขั้นสูงแล้ว จากอัพเกรดเป็นLastPass Premium ยังให้คุณสามารถแบ่งปันรหัสผ่านกับผู้ใช้ที่คนอื่น ๆ , ตรวจสอบดาร์กเว็บ, การเข้าถึงฉุกเฉินและพื้นที่จัดเก็บแบบ cloud ขนาด 1 GB และ LastPass Families ให้คุณสามารถเพิ่มบัญชีอื่น ๆ ได้อีก 6 บัญชี
สรุป:
LastPass มีแผนการใช้งานฟรีที่ดีที่สุด— คุณสามารถจัดเก็บรหัสผ่านได้ไม่จำกัดบนอุปกรณ์ไม่จำกัดจำนวนและคุณยังสามารถแบ่งปันรหัสผ่านได้ไม่จำกัดให้กับผู้ใช้ 1 คน LastPass Free มีฟีเจอร์การเปลี่ยนรหัสผ่าน, MFA และการตรวจสอบความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน การอัพเกรดเป็น LastPass Premium ให้คุณสามารถแบ่งปันรหัสผ่านไม่จำกัดให้แก่ผู้ใช้หลายคน, สามารถตรวจสอบดาร์กเว็บและใช้ MFA ขั้นสูงและอื่น ๆ อีกมากมาย LastPass Free มาพร้อมกับการทดลองใช้ LastPass Premium ฟรี 30 วัน
อ่านรีวิวตัวเต็มของ LastPass >
6. Keeper — ฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูงที่ยอดเยี่ยม

Keeper เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานง่ายที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูง — การเข้ารหัสแบบ AES 256-bit , โปรโตคอล zero-knowledge และตัวเลือกการยืนยันหลายปัจจัย (MFA) รวมทั้งตัวเลือกขั้นสูงแบบใบหน้าและลายนิ้มมือบนอุปกรณ์มือถือและนาฬิกาอัจฉริยะ
Keeper มีฟีเจอร์เพิ่มเติมอย่าง:
- แอพพลิเคชั่นส่งข้อความที่ปลอดภัย (KeeperChat)
- พื้นที่จัดเก็บแบบ cloud (10 GB)
- การควบคุมดาร์กเว็บ
แอพพลิเคชั่นส่งข้อความที่ปลอดภัยนั้นเป็นในสิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดของ Keeper KeeperChat เป็นบริการส่งข้อความแบบเข้ารหัสที่มาพร้อมกับการยกเลิกส่งข้อความ ข้อความแบบทำลายตัวเองและส่วนตัวสำหรับจัดเก็บรูปภาพหรือวีดีโอ
Keeper นั้นมาพร้อมกับตัวเลือกการจัดเก็บแบบ cloud ที่มากกว่าบริการอื่น ๆ — ในขณะที่บริการคู่แข่งอย่าง Dashlane นำเสนอพื้นที่จัดเก็บแบบ cloud ขนาด 1 GB แต่ Keeper มีพื้นที่จัดเก็บแบบ cloud ขนาด 10 GB และมีตัวเลือกการจัดเก็บเพิ่มเติมที่มากถึง 50 GB!
Keeper มีบริการฟรีที่มีข้อจำกัดค่อนข้างมาก — มันไม่มีฟีเจอร์ทั้งหมดของ Keeper และสามารถใช้งานได้บน 1 อุปกรณ์เท่านั้นKeeper Unlimited นั้นเป็นบริการที่คุณสามารถจัดเก็บรหัสผ่านได้ไม่จำกัดบนไม่จำกัดอุปกรณ์ สามารถแบ่งปันรหัสผ่านและใช้การยืนยันหลายปัจจัยได้ และKeeper Family ก็ให้คุณสามารถเพิ่มบัญชีได้อีก 5 บัญชี และยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ จาก Keeper รวมถึงการตรวจสอบดาร์กเว็บ แอพพลิเคชั่นเข้ารหัสข้อความและพื้นที่จัดเก็บแบบ Cloud 50 GB หรือคุณสามารถซื้อฟีเจอร์อื่น ๆ แยกได้
สรุป:
Keeper มาพร้อมกับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยมากมาย — มีการเข้ารหัสที่แข็งแกร่ง การตรวจสอบรความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน การตรวจสอบดาร์กเว็บ แอพพลิเคชั่นเข้ารหัสข้อความและพื้นที่จัดเก็บที่มากกว่า (10 GB – 50 GB) คู่แข่งคนอื่น ๆ Keeper มีแผนการบริการที่หลากหลายสำหรับส่วนบุคคลและครอบครัวและคุณสามารถทดลองใช้ Keeper ด้วยบัญชีทดลองใช้งาน 30 วันได้
7. RememBear — ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านมือใหม่

RememBear เป็นหนึ่งในเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานได้ง่ายที่สุด — มันขาดฟีเจอร์พื้นฐานหลายๆอย่างเหมือนที่คู่แข่งระดับชั้นนำอย่างเช่น Dashlane และ Keeper นำเสนอ แต่ว่า RememBear มันเหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคหรือไม่ต้องการฟังก์ชั่นการใช้งานมากนัก
RememBear นั้นมีอินเทอร์เฟสผู้ใช้งานที่ยอดเยี่ยมที่สุด — มันมีอนิเมชั่นรูปน้องหมีที่ให้คำแนะนำแบบทีละขั้นตอนเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานเริ่มต้นใช้งานได้ง่ายขึ้น แล้วก็เขายังนำเสนอระบบการบรรลุความสำเร็จที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เรียนรู้การใช้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย — คุณจะได้ “น้องหมี” ทุกครั้งที่คุณทำกิจกรรม อย่างเช่นการเพิ่มบัตรเครดิต นำเข้าข้อมูลรหัสผ่านที่มีอยู่แล้วและสร้างรหัสผ่านหลัก
ฉันชอบมากที่พวกเขาผู้ใช้ทำความเข้าใจการใช้งานฟีเจอร์ของ RememBear ทำได้ง่ายขึ้น ในระหว่างการทดสอบของฉัน ฉันไม่พบปัญหาในการสร้างหรือจัดเก็บรหัสผ่าน การจัดเก็บบัตรเครดิตและบันทึกรหัสผ่าน การซิงค์จากอุปกรณ์อื่น ๆ หรือการกรอกแบบฟอร์มอัตโนมัติบนเว็บไซต์ใด ๆ เลย ฉันยังชอบที่ฉันสามารถลงชื่อเข้าใช้บัญชี RememBear จากมือถือโดยใช้ลายนิ้วมือ (สามารถใช้ face ID ได้อีกด้วย)
RememBear Free สามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์เดียวในขณะที่ RememBear Premiumมีพื้นที่การจัดเก็บรหัสผ่านไม่จํากัด ไม่จำกัดจำนวนอุปกรณ์และยังมีฟีเจอร์ความปลอดภัยเพิ่มเติมอย่างเช่นการกู้คืนบัญชีนำเสนออีกด้วย
สรุป:
RememBear เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านสำหรับมือใหม่ที่ฉันชื่นชอบที่สุด — และพวกเขาก็มีน้องหมีน่ารักมากมายอีกด้วย! RememBear นำเสนอการจัดเก็บรหัสผ่านที่ปลอดภัยและการบันทึกและกรอกรหัสผ่านอัตโนมัติที่ใช้งานได้ง่าย RememBear สามารถใช้งานได้ดีในทั้งเดกส์ทอปและมือถือผู้ใช้ Android และ iOS สามารถใช้การลงชื่อเข้าใช้ด้วยไบโอเมตริกได้ คุณสามารถทดลองใช้งาน RememBear ได้โดยปราศจากความเสี่ยงโดยบัญชีทดลองใช้งานฟรี 30 วัน
อ่านรีวิวตัวเต็มของ RememBear >
8. Sticky Password — แผนพรีเมี่ยมที่ดีที่สุดที่มาพร้อมกับการจัดเก็บข้อมูลลงในอุปกรณ์

Sticky Password เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบพื้นฐานที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยม 2-3 อย่าง — รวมถึงการบันทึกข้อมูลแบบถาวรและโปรแกรมเวอร์ชั่น USB
ฉันชอบที่ Sticky Password ให้คุณสามารถเลือกได้ว่าคุณต้องการจัดเก็บและซิงค์ข้อมูลของคุณลงใน Cloud ของ Sticky Password หรือจัดเก็บลงในพื้นที่ของอุปกรณ์ของคุณเอง Sticky Password ใช้การเข้ารหัสแบบ AES 256-bit ช่วยให้ข้อมูลของผู้ใช้งานถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัยในระบบ Cloud — มันยอดเยี่ยมสำหรับผู้ใช้งานส่วนใหญ่ แต่สำหรับคนที่มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยอย่างมากก็สามารถซิงค์ข้อมูลเหล่านั้นลงในอุปกรณ์ของตัวเองได้
ฉันคิดว่ามันยอดเยี่ยมมากที่ Sticky Password คุณสามารถพกพาโปรแกรมนี้ไปกับคุณได้ทุกที่ด้วย USB— ดังนั้นคุณสามารถเข้าถึงรหัสผ่านของคุณจากคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ (มีให้ใช้กับ Windows PC เท่านั้น)
Sticky Password นำเสนอบริการฟรี ที่คุณสามารถบันทึกรหัสผ่านได้ไม่จำกัดได้ใน 1 อุปกรณ์, 2FA, การจัดเก็บบันทึกที่ปลอดภัยและเวอร์ชั่น USB Upgrading to Sticky Password Premium สามารถเพิ่มอุปกรณ์ได้ไม่จำกัด สามารถแบ่งปันรหัสผ่านได้และเลือกการจัดเก็บและซิงค์ระหว่าง Cloud หรือพื้นที่บนอุปกรณ์ — แถม Sticky Password ยังบริจาครายได้บางส่วนให้แก่องค์กรพิทักษ์พะยูนอีกด้วย!
สรุป:
Sticky Password มีฟีเจอร์ที่สำคัญทั้งหมดสำหรับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านและยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างเช่นการจัดเก็บข้อมูลลงในพื้นที่อุปกรณ์หรือโปรแกรมเวอร์ชั่นพกพา Sticky Password Free cมาพร้อมกับบัญชีการทดลองใช้งานฟรี 30 วันของ Sticky Password Premium และทุกการซื้อบริการของ Sticky Password จะมีการันตีการคืนเงินโดยไม่มีความเสี่ยงเป็นเวลา 30 วัน (ต้องการซื้อบริการแบบพรีเมี่ยมจะสมทบทุนองค์กรช่วยเหลือพะยูน (Save the Manatee Club) !)
อ่านรีวิวตัวเต็มของ Sticky Password >
9. Bitwarden — ตัวเลือกบริการแบบโอเพ่นซอร์สที่ดีที่สุด

Bitwarden จัดการรหัสผ่านแบบโอเพ่นซอร์สที่ดีที่สุดและมีราคาถูก— มันมาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูงมากมายและเป็นหนึ่งในบริการที่มีราคาถูกมาก แต่ว่ามันใช้งานได้ค่อนข้างยากเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเช่น Dashlane และ Keeper
Bitwarden ใช้การเข้ารหัสแบบ AES 256-bit รวมทั้ง แอพพลิเคชั่น 2FA อย่าง Authy และ Google Authenticator และให้คุณสามารถเลือกจัดเก็บข้อมูลลงในพื้นที่อุปกรณ์ได้
ฉันชอบมากที่ฉันสามารถจัดเก็บข้อมูลของฉันแบบออฟไลน์ได้ — ฉันมีเซิร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัยและฉันชอบที่จะจัดเก็บข้อมูลส่วนตัวของฉันนอก Cloud
ฉันชอบที่ Bitwarden มีพื้นที่จัดเก็บรหัสผ่านออนไลน์และทำให้คุณสามารถเข้าถึงรหัสผ่านจากคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ — ฉันสามารถเข้าถึงที่เก็บรหัสผ่านของ Bitwarden และลงชื่อเข้าใช้ Netflix ของฉันบนคอมพิวเตอร์ของเพื่อนฉันได้
อย่างไรก็ตามฉันไม่ค่อยชอบฟีเจอร์การแบ่งปันรหัสผ่านของ Bitwarden ซักเท่าไหร่ คุณสามารถแบ่งปันรหัสผ่านได้กับผู้ใช้ 1 คนเท่านั้น (ยกเว้นแต่คุณจะให้แผน Families plan) — บริการของคู่แข่งส่วนใหญ่นำเสนอการแบ่งปันไม่จำกัดจำนวนในแผนแบบพรีเมี่ยม
Bitwarden Free ให้คุณสามารถจัดเก็บรหัสผ่านได้ไม่จำกัด, ที่จัดเก็บบันทึกและบัตรเครดิต, 2FA และการจัดเก็บรหัสผ่านในอุปกรณ์ Bitwarden Premium เพิ่มพื้นที่การจัดเก็บ, การตรวจสอบความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน และเครื่องสร้าง 2FA code และ Bitwarden Families เป็นแผน Bitwarden ที่คุณสามารถแบ่งปันรหัสผ่านได้ไม่จำกัดและสามารถใช้งานได้กับผู้ใช้อีก 5 คน
สรุป:
Bitwarden นั้นเป็นบริการที่มีราคาถูก เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบโอเพนซอร์สที่นำเสนอฟีเจอร์ขั้นสูงมากมาย — อย่างเช่นการจัดเก็บอุปกรณ์ เครื่องมือสร้างโค้ด 2FA และพื้นที่จัดเก็บรหัสผ่านออนไลน์ อย่างไรก็ตาม Bitwarden นั้นไม่ได้ใช้งานง่ายเหมือนบริการอื่น ๆ ในรายการ – มันทำให้การแบ่งปันรหัสผ่านนั้นซับซ้อนกว่าที่ควรจะเป็นและยังขาดฟังก์ชันที่นำเสนอโดยบริการชั้นนำอื่น ๆ การสมัครใช้งาน Bitwarden ทั้งหมดมาพร้อมกับการรับประกันคืนเงิน 30 วัน
อ่านรีวิวตัวเต็มของ Bitwarden >
10. Enpass — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านราคาถูกที่มาพร้อมกับการเข้าถึงแบบออฟไลน์

Enpass เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีสำหรับคนที่มองหาการป้องกันแบบพื้นฐาน
Enpass สามารถให้การป้องกันแบบพื้นฐานได้อย่างยอดเยี่ยม — มันสามารถสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง, กรอกรหัสผ่านอัตโนมัติ, ตรวจสอบความแข็งแกร่งของรหัสผ่านและอื่น ๆ ได้อีกมากมาย อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านอื่น Enpass นั้นยังมีข้อจำกัดด้านการใช้งานอยู่มาก มันไม่ได้จัดเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์ Cloud ขาดตัวเลือกการยืนยัน 2FA แบบพื้นฐานและทำให้การแบ่งปันรหัสผ่านกับผู้ใช้งานอื่น ๆ นั้นทำได้ยากขึ้น
Enpass เป็นเครื่องมือการจัดการรหัสผ่านเดียวในรายการนี้ที่นำเสนอการจัดเก็บข้อมูลในอุปกรณ์ — ผู้ที่ต้องการความปลอดภัยนั้นคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยมากที่สุด แต่พวกเขาก็เลือกบริการอย่าง Sticky Password และ Bitwarden มากกว่า เพราะให้คุณสามารถเลือกได้ว่าจะให้คุณจัดเก็บข้อมูลสำคัญเหล่านี้เอาไว้ในอุปกรณ์อื่นเซิร์ฟเวอร์ Cloud
Enpass ให้ผู้ใช้สามารถซิงค์ข้อมูลลงในแอพพลิเคชั่นอย่างเช่น Google Drive และ Dropbox ได้ แต่มันอาจจะมีความซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิค ถามผู้ใช้ยังต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มเติมสำหรับบริการ Cloud ของบุคคลที่ 3 อีกด้วย
Enpass มาพร้อมกับฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับผู้ใช้ขั้นสูง —รวมถึงโปรแกรมเวอร์ชัน USB และความสามารถในการเข้าถึงจากสมาร์ทวอช มันเป็นฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ฉันต้องการเห็นการแบ่งปันรหัสผ่านที่ง่ายมากกว่าฟีเจอร์เพิ่มเติมที่ผู้ใช้ไม่ต้องการ
Enpass นำเสนอเวอร์ชั่นฟรีสำหรับเดสก์ทอปและมือถือ (คุณสามารถจัดเก็บรหัสผ่านได้ 25 รหัส) แผนพรีเมี่ยมของ Enpass นำเสนอฟีเจอร์แบบเดียวกัน แตกต่างกันตรงที่ระยะเวลาของการสมัครสมาชิก ซึ่งพวกเขามีตัวเลือก 6 เดือน, 1 ปีและตลอดชีพ
สรุป:
Enpass เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สามารถให้บริการพื้นฐานได้อย่างยอดเยี่ยม — มันมาพร้อมกับฟีเจอร์เพิ่มเติมอย่างเช่นโปรแกรมเวอร์ชัน USB และความสามารถในการใช้งานร่วมกับสมาร์ทวอช Enpass นำเสนอการจัดเก็บรหัสผ่านในพื้นที่อุปกรณ์เท่านั้น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้ใช้ขั้นสูง อย่างไรก็ตามผู้ใช้ที่ต้องการจัดเก็บข้อมูลของตัวเองใน Cloud จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมสำหรับบริการพื้นที่จัดเก็บของบุคคลที่ 3 Enpass นำเสนอบริการฟรีและพวกเขายังเป็นบริการเดียวในรายการนี้ที่นำเสนอการสมัครสมาชิกตลอดชีพ
โบนัสTrue Key — ตัวเลือก MFA ที่ดีที่สุด

True Key เครือ่งมือจัดการรหัสผ่านแบบพื้นฐาน — พวกเขาไม่ได้มีฟิลเตอร์เหมือนกับที่บริการส่วนใหญ่นำเสนอแต่พวกเขามีตัวเลือก MFA เยอะแยะมากมาย
ด้วย True Key คุณจะสามารถยืนยันตัวตนของคุณโดยการใช้รหัสผ่านหลัก, อีเมล, อุปกรณ์อื่น ๆ , ลายนิ้วมือ, ใบหน้าหรือ Windows Hello ก็ได้ คุณสามารถเพิ่มปัจจัยอื่น ๆ เพื่อทำให้บัญชีของคุณปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิมได้อีกด้วย!
การยืนยันด้วยใบหน้าเป็นวิธีการยืนยันที่ฉันชอบมากที่สุด — True Key ให้ฉันหันหน้าไปมาเมื่อยืนยันตัวตน ดังนั้นแฮกเกอร์จึงไม่สามารถเข้าถึงที่เก็บรหัสผ่านของฉันโดยการใช้รูปภาพได้!
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฉันจะชอบตัวเลือก MFA ของ True Key มากแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่ชอบที่ True Key ไม่ได้นำเสนอฟีเจอร์ที่สำคัญต่อเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน — มันไม่มีตัวเลือกการแบ่งปันรหัสผ่าน การตรวจสอบรหัสผ่านหรือพื้นที่เก็บไฟล์ที่ปลอดภัยเลย
True Key มีแผนการใช้งานและแผนแบบพรีเมี่ยมและความแตกต่างของแผนการใช้งานทั้ง 2 อย่างนี้ก็คือ True Key Free จำกัดรหัสผ่านที่สามารถจัดเก็บได้เพียงแค่ 15 รหัสผ่าน True Key Premium ให้คุณสามารถจัดเก็บรหัสผ่านได้ไม่จำกัด
สรุป:
True Key เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ตัวการตัวเลือก MFA ที่หลากหลาย — คุณสามารถลงชื่อเข้าใช้บัญชี True Key ได้ด้วยการใช้รหัสผ่านหลัก, ลายนิ้วมือ, ใบหน้า, อุปกรณ์อื่น, อีเมล์และอื่น ๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม True Key นั้นขาดฟีเจอร์ที่จำเป็นสำหรับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านอย่างเช่น การแบ่งปันรหัสผ่านการตรวจสอบรหัสผ่านไป คุณสามารถทดลองใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ True Key ได้ด้วยการใช้บริการฟรี (จำกัด 15 รหัส)
อ่านรีวิวตัวเต็มของ True Key >
Bonus. Password Boss — คุ้มค่าและมาพร้อมกับฟีเจอร์เพิ่มเติมมากมาย

Password Boss เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานได้ง่ายที่มาพร้อมกับฟีเจอร์มากมาย — ฟีเจอร์ทั้งหมดที่นำเสนอสามารถใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยมแต่มันก็มีฟีเจอร์ไม่มากพอที่จะทำให้ Password Boss นั้นสามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่างเช่น Dashlane หรือ Keeper ได้
Password Boss มีการแบ่งปันรหัสผ่าน, 2FA, การตรวจสอบความแข็งแกร่งของอุปกรณ์พื้นที่จัดเก็บแบบ cloud
ฉันไม่มีปัญหากับการใช้งานฟีเจอร์ของ Password Boss ในขณะที่ฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่พวกเขานำเสนอนั้นไม่ได้ทำให้ฉันประทับใจมากสักเท่าไหร่ ฉันคิดว่า Password Boss นั้นเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคที่มองหาโปรแกรมที่มีฟีเจอร์ครบถ้วน
Password Boss มีแผนการใช้งานฟรี แต่มันมีการจำกัดรหัสผ่านที่สามารถบันทึกและแบ่งปันได้ (5 รหัส) Password BossPremium และ Families มีฟีเจอร์ของ Password Boss ทั้งหมด — แต่ความแตกต่างระหว่างสองแผนนี้อยู่ที่แผนPremium นั้นสำหรับการใช้งานส่วนบุคคลและแผน Families นั้นให้ผู้ใช้สามารถแบ่งปันกับผู้ใช้อื่น ๆ ได้อีก 5 คน
สรุป:
Password Boss นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานได้ง่ายและมีฟีเจอร์ครบถ้วน น่าเสียดายที่มันไม่โดดเด่นในด้านใดเลย ไม่เหมือนกับผู้ให้บริการคนอื่น ๆ ในรายการ แต่ว่า Password Boss มีการแบ่งปันรหัสผ่าน การตรวจสอบความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน พื้นที่การจัดเก็บที่ปลอดภัยและอื่น ๆ อีกมากมาย คุณสามารถทดลองใช้ได้ฟรีเป็นเวลา 30 วันและสามารถรับเงินคืนได้ภายใน 30 วัน
อ่านรีวิวตัวเต็มของ Password Boss >
เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน | เครื่องมือสร้าง TOTP ในตัว | ส่วนเรื่องการจัดเก็บรหัสผ่านในอุปกรณ์ | เข้ารหัสพื้นที่จัดเก็บ | แผนใช้งานฟรี | ฟีเจอร์ที่มีเอกลักษ์ | มีให้บริการในภาษาไทย |
1.🥇Dashlane | มี | ไม่มี | 1 GB | 1 อุปกรณ์, 50 รหัส | VPN, การเปลี่ยนรหัสผ่านในคลิกเดียว, การควบคุมดาร์กเว็บ | ไม่ |
2.🥈RoboForm | ไม่มี | มี | ไม่มี | 1 อุปกรณ์, ไม่จำกัดรหัส | เทมเพลตการกรอกแบบฟอร์มที่หลากหลาย, การแบ่งปันบันทึกที่ปลอดภัย | ไม่ |
3.🥉NordPass | ไม่มี | ไม่มี | ไม่มี | 1 อุปกรณ์, ไม่จำกัดรหัส | การเข้ารหัส XChaCha20, อินเทอร์เฟซที่คล่องตัว | ไม่ |
4. 1Password | มี | มี | 1 GB | ไม่มีแผนใช้งานฟรี | โหมดการเดินทาง, การควบคุมของผู้ปกครอง | ไม่ |
5. LastPass | มี | มี | 1 GB | ไม่จำกัดอุปกรณ์, ไม่จำกัดรหัส | 2FA ในตัว, การควบคุมของผู้ปกครอง | ไม่ |
6. Keeper | มี | ไม่มี | 10 GB | 1 อุปกรณ์, ไม่จำกัดรหัส | เข้ารหัสข้อความ มีพื้นที่จัดเก็บที่ปลอดภัยและการตรวจสอบดาร์กเว็บ | ไม่ |
7. RememBear | มี | ไม่มี | ไม่มี | 1 อุปกรณ์, ไม่จำกัดรหัส | อินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่าย, ฟีเจอร์การยืนยันที่เป็นเอกลักษณ์ | ไม่ |
8. Sticky Password | ไม่มี | มี | ไม่มี | ไม่จำกัดอุปกรณ์, ไม่จำกัดรหัส | ซิงค์กับ Cloud/พื้นที่ในอุปกรณ์, ตัวเลือกโปรแกรมสำหรับ USB | ไม่ |
9. Bitwarden | มี | มี | 1 GB | ไม่จำกัดอุปกรณ์, ไม่จำกัดรหัส | บริการแบบโอเพ่นซอร์ส, 2FA ในตัว, ราคาถูก | ไม่ |
10. Enpass | มี | มี (ตัวเลือก) | ไม่มี | 1 อุปกรณ์, 25 รหัส | พื้นที่จัดเก็บในอุปกรณ์, ตัวเลือกการสมัครสมาชิกตลอดชีพ | ไม่ |
11. True Key | ไม่มี | ไม่มี | ไม่มี | 1 อุปกรณ์, 15 รหัส | กระเป๋าเงินออนไลน์ | ไม่ |
12. Password Boss | ไม่มี | มี | ไม่มี | ไม่มีแผนใช้งานฟรี | การควบคุมดาร์กเว็บ | ไม่ |
เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน — คำถามที่พบบ่อย
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านของฉันสามารถถูกแฮกได้หรือไม่
มันเกิดขึ้นได้ยากมาก เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้ใช้การเข้ารหัส AES 256-bit ที่แข็งแกร่งหรือวิธีการเข้ารหัสที่เทียบเท่า ดังนั้นแฮ็กเกอร์จึงต้องการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังเป็นพิเศษเพื่อขโมยข้อมูลของคุณ แม้ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ อาจจะได้ไปแค่ชิ้นส่วนข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่ไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้อีก
อย่างไรก็ตามหากรหัสผ่านหลักของคุณอ่อนแอและสามารถเดาได้ง่าย แสดงว่าคุณกำลังทำลายจุดประสงค์ทั้งหมดของเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน ในกรณีนั้น ใช่ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านสามารถถูกละเมิดได้ (แต่ไม่ใช่การ “แฮ็ค”) แต่ถ้าคุณใช้โปรแกรมสร้างรหัสผ่านที่ปลอดภัยและเปลี่ยนรหัสผ่านหลักทุก ๆ 6 เดือนสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านเหมือนกันทั้งหมดหรือเปล่า
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านจำนวนมากมีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน เช่นการบันทึกและจัดเก็บรหัสผ่าน, การสร้างรหัสผ่านใหม่, การซิงค์หลายอุปกรณ์, การยืนยันสองปัจจัยเป็นต้น ความง่ายในการใช้งาน, วิธีการเข้ารหัส, ตัวเลือกการยืนยันหลายปัจจัย, ส่วนเสริมเบราเซอร์, แอพพลิเคชั่นสำหรับเดกส์ทอป/มือถือและความคุ้มค่าโดยรวมอาจแตกต่างกันอย่างมากระหว่างเครื่องมือจัดการรหัสผ่านต่าง ๆ
RoboForm มีฟีเจอร์การกรอกแบบฟอร์มขั้นสูงสุด ในขณะที่ Keeper มีพื้นที่เก็บข้อมูลที่ปลอดภัยมากมายและ Sticky Password จะมอบรายได้ส่วนหนึ่งให้กับ Save the Manatee Club!
เหตุใดฉันจึงควรใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านมีประโยชน์มากมาย:
- การสร้างรหัสผ่าน – ถ้าคุณเป็นเหมือนฉัน คุณจะมีรหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกันเกือบ 100 รายการ แต่ละรหัสผ่านควรไม่ซ้ำกันโดยไม่มีคำหลักหรือรูปแบบที่คล้ายกัน เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทำงานร่วมกับเครื่องมือสร้างรหัสผ่านสามารถเพิ่มความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ได้ในไม่กี่วินาที – Dashlane ยังมีเครื่องมือเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติที่แทนที่รหัสผ่านที่อ่อนแอทั้งหมดของคุณได้ด้วยคลิกเดียว
- ความสะดวกสบาย – มันต้องใช้เวลานับไม่ถ้วนในชีวิตในการลืมและพยายามจำรหัสผ่านและต้องเปลี่ยนรหัสผ่านใหม่ การใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านเป็นการประหยัดเวลาได้อย่างมาก
- ความปลอดภัย – เครื่องมือจัดการรหัสผ่านป้องกันไม่ให้ผู้บันทึกรหัสผ่านและหน้าจอที่เฝ้าดูคุณพิมพ์รหัสผ่านบนหรือหน้าจอได้ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่ยังมีการแบ่งปันข้อมูลที่ปลอดภัยระหว่างผู้ใช้ ผู้ให้บริการบางรายยังตรวจสอบดาร์กเว็บเพื่อดูการละเมิดความปลอดภัย เช่น ฟีเจอร์ BreachWatch ของ Keeper และฟีเจอร์ Dark Web Monitoring ของ Dashlane
บริษัทเครื่องมือจัดการรหัสผ่านสามารถดูรหัสผ่านของฉันได้หรือไม่
เครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับชั้นนำทั้งหมดมีโปรโคตอลการไม่จดจำข้อมูลซึ่งหมายความว่าข้อมูลของคุณจะถูกเข้ารหัสก่อนที่จะเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของพวกเขา ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะอ่านรหัสผ่านของคุณ
แม้ว่าคุณจะยังไม่ไว้วางใจบริษัท แต่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านจำนวนมากก็นำเสนอพื้นที่เก็บข้อมูลในเครื่อง ดังนั้นรหัสผ่านจะไม่ต้องเดินทางออกจากอุปกรณ์ของคุณ — 1PasswordและSticky Passwordนั้นเป็นสองแบรนด์ที่นำเสนอพื้นที่จัดเก็บในตัวเครื่อง