เราได้ใช้งาน ทดสอบ และค้นคว้าเกี่ยวกับเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) มาเป็นเวลาหลายปี แต่เรารู้ว่าใครหลายคนต่างก็เห็น VPN เป็นเรื่องใหม่ หรือไม่ก็อาจจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามันทำงานอย่างไรและทำไมพวกเขาควรจะต้องใช้มัน
นอกจากนี้เรายังเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากขนาดไหนที่จะหาคู่มือที่ครอบคลุมเกี่ยวกับเรื่องของ VPN — บทความออนไลน์ส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์หรือไม่ก็ไม่ค่อยเจาะลึก
เราจึงตัดสินใจใช้ประสบการณ์เกี่ยวกับ VPN ของเราให้เป็นประโยชน์และก็เขียนคู่มือแบบครอบคลุมของเราเอง มันจะช่วยให้คุณเข้าใจว่า VPN ทำงานอย่างไร มันช่วยทำอะไร (และไม่ได้ช่วยทำอะไร) และจะใช้ VPN ได้อย่างไร — และคุณควรจะซื้อไว้ใช้บ้างหรือไม่ เรามีตัวเลือก VPN ที่ดีที่สุดมาแนะนำด้วย หมายเหตุจากบรรณาธิการ: ExpressVPN และเว็บไซต์นี้อยู่ในกลุ่มบริษัทที่มีเจ้าของเดียวกัน
VPN ทำงานอย่างไร?
VPN นั้นเป็นแอปออนไลน์ที่มีเซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่หลายแห่งทั่วโลก ตอนที่คุณเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ VPN มันจะทำการเข้ารหัสทราฟฟิคทั้งหมดของคุณ ทำให้ไม่สามารถอ่านข้อมูลเว็บไซต์ที่คุณเข้าและไฟล์ที่คุณดาวน์โหลดได้ นอกจากนี้ VPN จะช่วยแทนที่ ที่อยู่ IP จริงของคุณด้วยที่อยู่ IP ตามตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ที่คุณเลือก — ยกตัวอย่างเช่น คุณทำการเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่สหราชอาณาจักร คุณก็จะได้ที่อยู่ IP ของสหราชอาณาจักร ทำให้ดูเหมือนกับว่าคุณใช้งานอยู่ที่สหราชอาณาจักร
การเปรียบเทียบ
ลองนึกภาพลูกชายของคุณอยากขอคุกกี้กิน แต่เขารู้ว่ายังไงคุณก็ไม่ให้ เขาเลยขอให้เพื่อนของเขามาขอคุกกี้จากคุณแทน และเนื่องจากคุณอยากทำให้เพื่อนของลูกชายรู้สึกได้รับการต้อนรับ คุณจึงให้คุกกี้กับเพื่อนของเขาไป อย่างไรก็ตาม เพื่อนของคุณเอาคุกกี้นั้นไปให้ลูกชายของคุณ
และก็เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครในบ้านเห็นเขาเอาคุกกี้ไปให้ลูกชายของคุณที่ห้อง เขาจึงเอาคุกกี้ใส่ถุงกระดาษอีกด้วย ถึงแม้ว่าคุณจะเห็นเพื่อนของลูกคุณเดินไปที่ห้องของลูกคุณ แต่คุณก็ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในถุง
ในการเปรียบเทียบนี้ เพื่อนของลูกชายคุณก็คือ เซิร์ฟเวอร์ VPN และถุงนั่นก็คือการเข้ารหัส
คำอธิบายทางเทคนิค
VPN นั้นทำตัวเป็น “ตัวกลาง” ระหว่างคุณและการเชื่อมต่อของคุณไปยังอินเทอร์เน็ต เวลาที่คุณเชื่อมต่อไปยังอินเทอร์เน็ตโดยไม่ใช้ VPN ทางผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ของคุณจะจัดสรรที่อยู่ IP ที่ตรงกับตำแหน่งที่อยู่จริงของคุณให้ (เช่นเมืองที่คุณอาศัยอยู่) และมันจะรับที่อยู่ของเว็บไซต์ที่คุณต้องการจะเข้าไปเยี่ยมชม และก็ทำการเชื่อมต่อคุณไปยังเว็บไซต์
อย่างไรก็ตาม เวลาที่คุณเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN กระบวนการมันจะต่างออกไปเล็กน้อย คุณยังต้องทำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน ISP ของคุณอยู่ ซึ่งพวกเขาก็จะจัดสรรที่อยู่ IP ให้คุณ แต่ตอนที่คุณเชื่อมต่อไปยัง VPN มันจะจัดสรรที่อยู่ IP ที่ตรงกับที่อยู่ของเซิร์ฟเวอร์ VPN ให้คุณแทน คำร้องในการเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ของคุณจะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN ซึ่งหมายความว่าเว็บไซต์ใดก็ตามที่คุณเข้าไปเยี่ยมชมจะเห็นเฉพาะที่อยู่ IP ของ VPN และจะไม่เห็น ที่อยู่ IP จริง
นอกจากนี้ ตอนที่คุณเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN มันก็จะสร้างการเชื่อมต่อแบบเข้ารหัส (มักจะเรียกว่า “อุโมงค์ VPN”) ระหว่างเซิร์ฟเวอร์ VPN และอินเทอร์เน็ต — ข้อมูลใดก็ตามที่ผ่านการเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสนั้น เช่นข้อมูลการท่องเว็บของคุณ ก็จะไม่สามารถถูกเปิดอ่านได้ จึงไม่มีใครสามารถแอบมาสอดแนมข้อมูลของคุณได้
เหตุผลที่คุณควรใช้ VPN
นี่คือเหตุผลหลัก ๆ ที่ใคร ๆ ต่างก็เลือกใช้ VPN:
- ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว VPN จะช่วยปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของคุณเวลาที่คุณท่องเว็บ
- สตรีมมิ่ง คุณสามารถเข้าถึง เนื้อหาการสตรีมมิ่งในประเทศบ้านเกิดของคุณได้ (รวมถึง Netflix และ Amazon Prime) เวลาที่คุณเดินทางไปต่างประเทศ
- การโหลดบิตทอร์เรนต์ VPN จะช่วยให้คุณดาวน์โหลดไฟล์ได้อย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัว
- เล่นเกม คุณสามารถ ใช้ VPN เพื่อลดปิง (ระยะเวลาการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ของคุณกับเซิร์ฟเวอร์ของเกม), หลีกเลี่ยงการแบนที่อยู่ IP ที่ไม่ยุติธรรม และปกป้องเครือข่ายของคุณจากการโจมตีแบบ DDoS
- ไฟร์วอลล์และการเซ็นเซอร์ มี VPN บางรายที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถหลบหลีกไฟร์วอลล์ที่ทำงาน/โรงเรียนได้ ในขณะที่รายอื่น ๆ จะช่วยให้คนที่อยู่ในประเทศซึ่งมีการเซ็นเซอร์เนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตอย่างประเทศจีน สามารถเข้าถึงเว็บได้อย่างเป็นอิสระ
- การ throttle แบนด์วิดท์ VPN จะช่วยป้องกันไม่ให้ ISP ลดความเร็วของผู้ใช้งานอย่างตั้งใจ เพราะว่าผู้ใช้งานใช้ข้อมูลเยอะเกินในขณะที่โหลดบิตทอร์เรนต์หรือการเล่นเกมได้
ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
ตอนที่เราเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN ทาง ISP และกลุ่มบุคคลที่สามอื่น ๆ อย่างเช่นรัฐบาลหรือแฮ็กเกอร์ก็จะไม่สามารถดูได้ว่าเราเข้าเว็บไหน เราเชื่อมต่อ VPN อยู่ตลอดเวลาอยู่บ้าน รวมถึงตอนที่เราท่องเว็บผ่าน Wi-Fi สาธารณะอย่างเช่นในร้านกาแฟ สนามบิน หรือโรงแรมด้วย Wi-Fi สาธารณะนั้นมีความปลอดภัยที่ต่ำกว่าเครือข่ายที่บ้านของเรา และก็เสี่ยงต่อการถูกแอบอ่านข้อมูลทราฟฟิคมากกว่า
ยกตัวอย่างเช่น เราเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN ทันทีที่เราเข้าใช้งาน Wi-Fi สาธารณะฟรีที่อู่ซ่อมรถที่เราแวะไป ในขณะที่เรารอซ่อมรถอยู่ — แบบนี้แฮ็กเกอร์ก็จะไม่สามารถดูชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านที่เรากรอกลงบนเว็บไซต์ หรือข้อมูลบัตรเครดิตของเราได้ตอนที่เราสั่งซื้อของจาก Amazon
นอกจากนี้แล้ว VPN ก็จะช่วยเปลี่ยนที่อยู่ IP ของคุณเพื่อที่จะไม่มีใครสามารถเห็นมันและเอาไปใช้ค้นหาที่อยู่ของคุณได้ ที่อยู่ IP ของคุณจะไม่เปิดเผยที่อยู่ถนนที่คุณอยู่อะไรแบบนั้น แต่มันจะเปิดเผยยว่าคุณอยู่ในเมืองไหนได้ นี่จะช่วยให้ผู้โฆษณาสามารถติดตามดูตำแหน่งที่ตั้งของคุณ และทำโฆษณาเฉพาะพื้นที่มารบกวนคุณได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถปิดบังตำแหน่งของคุณได้ด้วย VPN และสามารถทำให้ดูเหมือนว่าคุณใช้งานมาจากประเทศอื่นได้ด้วย
สตรีมมิ่ง
เว็บไซต์สตรีมมิ่งจะเซ็นสัญญาข้อตกลงลิขสิทธิ์กับเจ้าของลิขสิทธิ์ เพื่อที่จะทำการฉายเนื้อหาในบางประเทศ ยกตัวอย่างเช่น Netflix อาจจะสามารถแสดงรายการทีวีบางรายการได้อย่างถูกกฎหมายเฉพาะใน ประเทศไทย ถ้าคุณเดินทางไปต่างประเทศ คุณก็อาจจะดูรายการโปรดของคุณไม่ได้
อย่างไรก็ตาม คุณสามารถเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN ในประเทศบ้านเกิดของคุณและก็เข้าถึงเว็บไซต์สตรีมมิ่งและเนื้อหาที่สามารถดูได้เฉพาะในประเทศของคุณ
การโหลดบิตทอร์เรนต์
การโหลดบิตทอร์เรนต์นั้นเป็นเรื่องถูกกฎหมายในหลายประเทศทั่วโลก แต่การโหลดไฟล์ลิขสิทธิ์นั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าทำการเข้าใช้งานเว็บไซต์ peer-to-peer (P2P) เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ทอร์เรนต์ลิขสิทธิ์อย่างผิดกฎหมาย ISP อาจจะทำการบล็อกเว็บโหลดบิตทอร์เรนต์ ลดความเร็วการเชื่อมต่อ P2P หรือส่งคำเตือนไปยังลูกค้าของพวกเขา
คุณสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องทั้งหมดนี้และดาวน์โหลดไฟล์ทั้งหมดที่คุณต้องการได้ด้วย VPN ที่เหมาะสำหรับใช้โหลดบิตทอร์เรนต์ VPN จะทำการเข้ารหัสทราฟฟิคออนไลน์ของคุณ คุ้มกันคุณจาก ISP ไม่ให้พวกเขาเห็นว่าคุณกำลังเข้าเว็บโหลดบิตทอร์เรนต์
เราและทีมงานไม่สนับสนุนให้คุณใช้ VPN ดาวน์โหลดไฟล์ลิขสิทธิ์อย่างผิดกฎหมาย เราขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้คุณหลีกเลี่ยงการโหลดบิตทอร์เรนต์เนื้อหาลิขสิทธิ์ และอ่านกฎหมายในประเทศให้มั่นใจว่าคุณสามารถโหลดบิตทอร์เรนต์ได้
การเล่นเกม
เราไม่สามารถยืนยันได้ 100% ว่า VPN จะช่วยลดค่าปิงของคุณได้ แต่เราใช้แล้วมันก็ช่วยลดได้เกือบตลอด โดยที่เราใช้ ExpressVPN ซึ่งเป็น VPN ที่เราชื่นชอบสำหรับใช้เล่นเกม2024 ในการทดสอบค่าปิงของเราบนเซิร์ฟเวอร์ใน 10+ ประเทศ ค่าปิงของเราก็ลดลงจาก 160–170 ms ไป 80—111 ms เสมอเวลาที่เราเล่น Dota 2 และ Counter-Strike: Global Offensive เราสามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลไม่แลคมากกว่าระหว่างที่เราเชื่อมต่อ VPN
ยิ่งไปกว่านั้น VPN จะช่วยปกป้องคุณจากการโจมตีแบบ distributed denial-of-service (DDoS) ซึ่งจะเป็นการเททราฟฟิคที่คุณไมต้องการเข้าใส่เครือข่ายของคุณจนทำให้คุณต้องออฟไลน์ไป ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณถูกแบนหรือระงับการใช้งานในขณะที่เล่นเกม เกมส่วนใหญ่มักจะแบนที่อยู่ IP ของคุณไม่ใช่บัญชีของคุณ ดังนั้นคุณจึงจะสามารถหลบหลีกการแบนได้เพียงแค่เปลี่ยนที่อยู่ IP ด้วย VPN และก็กลับไปเล่นเกมต่อได้
ไฟร์วอลล์และการเซ็นเซอร์
ประเทศอย่างจีน รัสเซีย และอินโดนีเซีย ใช้ไฟร์วอลล์ที่ซับซ้อนเพื่อจำกัดการเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ข่าว และแพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ ข่าวดีก็คือ มี VPN มากมายที่มีเครื่องมือทำ obfuscation ซึ่งจะช่วยให้คุณหลบหลีกการเซ็นเซอร์ของรัฐบาลและทำให้คุณเข้าถึงได้ทุกเว็บไซต์ที่คุณต้องการ คุณยังสามารถใช้ obfuscation เพื่อหลบหลีกไฟร์วอลล์ที่มหาวิทยาลัยหรือที่ทำงานได้ด้วย
การ throttle แบนด์วิดท์
ถ้าไม่มี VPN ทาง ISP ของคุณจะสามารถดูได้ว่าคุณกำลังเข้าเว็บอะไรอยู่ และก็คุณใช้ข้อมูลไปขนาดไหนในแต่ละเว็บไซต์ ถ้าคุณใช้ข้อมูลมากเกินไป พวกเขาก็อาจจะทำการ throttle ความเร็วในการเชื่อมต่อของคุณเพื่อจำกัดการใช้ข้อมูลของคุณ ยกตัวอย่างเช่น ถ้า ISP ของคุณเห็นคุณดู Netflix เป็นเวลานานในช่วงวันหยุด พวกเขาก็อาจจะลดความเร็วการเชื่อมต่อเว็บไซต์นั้นลง
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณใช้ VPN ทาง ISP ของคุณก็จะไม่สามารถเปิดดูได้ว่าคุณเข้าถึงเว็บอะไรบ้าง พวกเขายังสามารถดูได้อยู่ว่าคุณใช้ข้อมูลไปขนาดไหน แต่จะไม่รู้ว่าใช้ไปกับเว็บไหน ISP จึงไม่สามารถ throttle ความเร็วในการเชื่อมต่อได้
สิ่งที่ VPN จะไม่ได้ช่วยคุณ
ในขณะที่ VPN นั้นเป็นเครื่องมือความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมสำหรับใช้ปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของคุณ แต่มันก็มีข้อจำกัดเช่นกัน นี่คือสิ่งที่ VPN ไม่ได้ช่วย:
ปกป้องอุปกรณ์ของคุณจากมัลแวร์
VPN ไม่สามารถตรวจจับหรือนำมัลแวร์ออกได้ หากคุณดาวน์โหลดไฟล์อันตรายมาโดยไม่ได้ตั้งใจ VPN จะไม่ได้ช่วยหยุดมันไม่ให้ทำอันตรายกับอุปกรณ์ของคุณ หรือขโมยรหัสผ่าน เลขบัตรเครดิต รูปถ่าย และข้อมูลอ่อนไหวอื่น ๆ
VPN บางรายอย่างเช่น ExpressVPN, Private Internet Access และ Proton VPN จะมีตัวบล็อกมัลแวร์ประกอบมาเป็นส่วนหนึ่งของ ฟีเจอร์บล็อกโฆษณา อย่างไรก็ตาม ตัวบล็อกมัลแวร์จะช่วยได้แค่ป้องกันคุณจากการเชื่อมต่อไปหาเว็บไซต์น่าสงสัยที่อาจจะมีมัลแวร์ฝังอยู่ — มันไม่ได้ช่วยกันไม่ให้มัลแวร์เข้าถึงอุปกรณ์ของคุณ
เพื่อที่จะป้องกันการติดมัลแวร์อย่างเต็มรูปแบบ เราขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้คุณใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสดี ๆ สักราย มีตัวเลือกมากมายให้คุณเลือก ส่วนตัวแล้วเราชอบ Norton มากที่สุด มัลแวร์สแกนเนอร์ของพวกเขาได้รับคะแนนเต็มในการทดสอบของพวกเรา และก็มาพร้อมกับฟีเจอร์เด็ด ๆ อย่างเช่น การป้องกันฟิชชิง ไฟร์วอลล์ การตรวจสอบติดตามเว็บมืด การป้องกันเว็บแคม เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน รวมถึง VPN ด้วย (Norton Secure VPN)
ปิดบังตัวตนของคุณ 100% บนอินเทอร์เน็ต
VPN จะทำการเข้ารหัสทราฟฟิคอินเทอร์เน็ตของคุณและเปลี่ยนที่อยู่ IP เพื่อเพิ่มการป้องกันและความเป็นส่วนตัวเข้าไปอีกขั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่ VPN จะปิดบังตัวตนคุณอย่าง 100% — นี่คือเหตุผลว่าทำไม:
- ตอนที่คุณทำการชำระเงินทางออนไลน์ ผู้ดำเนินการชำระเงินและผู้ขายจะเก็บข้อมูลการชำระเงินของคุณ
- เว็บไซต์จะใช้ browser fingerprinting (เป็นวิธีในการติดตามผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์) เพื่อเก็บข้อมูลเฉพาะบางอย่างเกี่ยวกับอุปกรณ์ของคุณ นี่รวมถึง ภาษา เวอร์ชันระบบปฏิบัติการ ความละเอียดหน้าจอ เขตเวลาและอื่น ๆ
- การเชื่อมต่อ VPN และอินเทอร์เน็ตจะต้องผ่าน ISP ของคุณ
- ถ้าคุณใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย พวกเขาก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณเช่น ที่อยู่อีเมล ชื่อ และเบอร์โทร
ป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ใช้คุกกี้
คุกกี้นั้นเป็นไฟล์ข้อความขนาดเล็กที่จะถูกดาวน์โหลดมาอยู่ในอุปกรณ์ของคุณตอนที่คุณเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ และคุณยอมรับนโยบายการใช้คุกกี้ คุกกี้นั้นใช้ทำได้หลายอย่าง เช่นการล็อกอินผู้ใช้งานอัตโนมัติ หรือการบันทึกการตั้งค่าบนเว็บไซต์ (อย่างเช่นภาษาที่เลือก) อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ก็สามารถใช้คุกกี้เพื่อติดตามพฤติกรรมออนไลน์ และแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับคุณให้ผู้โฆษณาได้ด้วยเช่นกัน
VPN ไม่สามารถปกป้องคุณจากคุกกี้ได้เพราะว่ามันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สกัดและเก็บคุกกี้ของคุณไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของมัน ในการที่จะกำจัดคุกกี้ คุณต้องทำการเคลียแคชและคุกกี้ของเบราว์เซอร์ ใช้โหมดไม่ระบุตัวตน หรือส่วนเสริมเบราว์เซอร์จากบุคคลที่สามเพื่อทำการบล็อกคุกกี้
หลีกเลี่ยงการปิดอินเทอร์เน็ต
การปิดอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นการรบกวนระดับนานาชาติที่เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ บางครั้งการปิดอินเทอร์เน็ตนั้นจะเกิดขึ้นในประเทศที่มีการจำกัดการเข้าถึงเวลาที่เกิดเหตุการประท้วงรุนแรงหรือเกิดการแทรงแซงจากทหาร
เราเจอมาหลายคนแล้วที่บอกว่าสามารถใช้ VPN หลีกเลี่ยงการปิดอินเทอร์เน็ตได้ แต่น่าเสียดายที่นั่นไม่ใช่เรื่องจริงเลย ถ้าคุณไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ คุณก็ใช้ VPN ไม่ได้
หยุด ISP ไม่ให้พวกเขาเห็นที่อยู่ IP จริงของคุณ
VPN สามารถหยุดเว็บไซต์ รัฐบาล และแฮ็กเกอร์ไม่ให้เห็นที่อยู่ IP จริงของคุณได้ แต่มันจะไม่สามารถป้องกัน ISP ของคุณไม่ให้เห็นที่อยู่ IP จริงของคุณได้ การเชื่อมต่อ VPN ของคุณนั้นเกิดขึ้นผ่านเครือข่ายของ ISP ดังนั้น ISP ของคุณจึงสามารถมองเห็นการเชื่อมต่อของคุณได้ตลอด
เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือสิ่งที่ ISP ของคุณจะมองเห็นในตอนที่คุณใช้ VPN:
- ที่อยู่ IP จริงของคุณ
- ที่อยู่ IP ของเซิร์ฟเวอร์ VPN ที่คุณเชื่อมต่อไป
- ข้อมูลที่คุณใช้ในขณะเชื่อมต่อไปเซิร์ฟเวอร์ VPN
- พอร์ตที่ VPN ของคุณเชื่อมต่อไป
- เวลาที่คุณเริ่มทำการเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN
ข่าวดีก็คือข้อมูลเหล่านั้นจะไม่ส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวเนื่องจาก ISP จะไม่สามารถดูได้ว่าคุณกำลังท่องเว็บไซต์ไหนอยู่
เข้ารหัสสิ่งที่คุณทำบนเว็บไซต์อื่น ๆ
VPN ทำการเข้ารหัสการเชื่อมต่อที่ยังเว็บไซต์ แต่มันจะไม่ได้เข้ารหัสสิ่งที่คุณทำบนเว็บไซต์เหล่านั้น เจ้าของเว็บไซต์จะสามารถดูได้ว่าคุณอัปโหลดหรือดาวน์โหลดอะไร ยกตัวอย่างเช่น VPN จะไม่สามารถป้องกัน Facebook ไม่ให้พวกเขามองเห็นรูปที่คุณอัปโหลดหรือ Twitter จากการอ่านทวีตของคุณได้
VPN Client คืออะไร?
VPN Client (หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่าแอป VPN) คือซอฟต์แวร์ที่คุณดาวน์โหลดและติดตั้งบนอุปกรณ์ของคุณและใช้เพื่อเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN ตัว VPN client จะสื่อสารไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN เพื่อสร้างการเชื่อมต่อ VPN แบบเข้ารหัสขึ้นมา
VPN ชั้นนำส่วนใหญ่ต่างก็มี VPN client สำหรับ iOS, Android, Windows, macOS และ Linux ที่ติดตั้งและใช้งานง่าย ยกตัวอย่างเช่น นี่เป็นหน้าตา client ของ ExpressVPN บน Windows
วิธีติดตั้ง VPN ใน 3 ขั้นตอนง่าย ๆ:
- สมัครใช้งาน VPN ดี ๆ สักราย ตัวเลือกแรกของเราคือ ExpressVPN เพราะว่ามันมีฟีเจอร์ความปลอดภัยระดับชั้นนำ มีความเร็วสูงที่สุด รองรับการสตรีมมิ่งและ P2P ได้เป็นอย่างดี มีแอปที่ใช้งานง่าย และก็มีถึง 3,000+ เซิร์ฟเวอร์ ใน 90+ ประเทศ
- ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปของผู้ให้บริการ VPN กระบวนการติดตั้งมักจะใช้เวลาไม่เกิน 1–2 นาที (เพียงแค่ทำตาม wizard ในการติดตั้ง)
- เปิดแอป VPN และทำการเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN เท่านี้ข้อมูลของคุณก็จะถูกเข้ารหัสและคุณก็สามารถท่องเว็บได้อย่างปลอดภัย
เซิร์ฟเวอร์ VPN คืออะไร?
เซิร์ฟเวอร์ VPN คือคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ที่ถูกกำหนดค่าให้รันซอฟต์แวร์ VPN นี่คือสิ่งที่เซิร์ฟเวอร์ VPN ทำ:
- เข้ารหัสทราฟฟิคของคุณ — กระบวนการที่เกิดขึ้นคือการสร้างการเชื่อมต่อแบบเข้ารหัส (หรืออุโมงค์) ระหว่าง VPN client และเซิร์ฟเวอร์ VPN ด้วยวิธีนี้ ข้อมูลทั้งหมดของคุณ รวมถึงเว็บไซต์ที่คุณเข้าไปเยี่ยมชมก็จะถูก scramble
- เปลี่ยนที่อยู่ IP ของคุณ — ตอนที่คุณเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN มันจะจัดสรรที่อยู่ IP ซึ่งสอดคล้องกับตำแหน่งที่ตั้งของเซิร์ฟเวอร์ให้กับคุณ เว็บไซต์ทั้งหมดที่คุณเข้าถึงในขณะที่ทำการเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ VPN นั้นจะเห็นเฉพาะที่อยู่ IP ของ VPN (ไม่เห็นที่อยู่ IP จริงของคุณ)
อธิบายการเข้ารหัสของ VPN
การเข้ารหัสนั้นเป็นการแปลงข้อมูลจากรูปแบบที่สามารถเปิดอ่านได้ไปเป็นแบบที่อ่านไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเข้าถึง Facebook ในขณะที่เชื่อมต่อ VPN อยู่ ทาง ISP ก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าคุณเชื่อมต่อไปยัง facebook.com — พวกเขาจะเห็นคำอะไรก็ไม่รู้อย่างเช่น “HFUh3245KFh894” แทน การเข้ารหัสของ VPN จะทำให้การสอดแนมทราฟฟิคอินเทอร์เน็ตของคุณนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ในการจะเข้ารหัสและถอดรหัสทราฟฟิคผู้ใช้งาน ทาง VPN จะใช้คีย์การเข้ารหัส ซึ่งเป็นสตริงของบิท(หน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูลคอมพิวเตอร์) ที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบสุ่ม จะมีเฉพาะ VPN client และเซิร์ฟเวอร์เท่านั้นที่เข้าถึงคีย์การเข้ารหัสได้
การเข้ารหัสของ VPN นั้นยังต้องอาศัย encryption cipher ด้วย ซึ่งเป็นอัลกอริทึมที่ใช้ในกระบวนการเข้ารหัสและถอดรหัส encryption ciphers นั้นมีอยู่หลายรูปแบบ โดยที่ VPN ชั้นนำส่วนใหญ่จะเลือกใช้ Advanced Encryption Standard (AES), ChaCha20 หรือทั้งสองอย่าง
โปรโตคอล VPN คืออะไร?
โปรโตคอล VPN นั้นเป็นชุดของกฎที่จะตัดสินว่า VPN client และเซิร์ฟเวอร์ VPN จะเชื่อมต่อกันอย่างไร นี่คือรายการโปรโตคอล VPN ทั้งหมดที่มี:
- OpenVPN — โปรโตคอลโอเพนซอร์ซยอดนิยมที่มีความปลอดภัยอันแข็งแกร่งและมีความเร็วดี
- WireGuard — โปรโตคอลโอเพนซอร์ซทันสมัยที่มีความปลอดภัยดีพอ ๆ กับ OpenVPN แต่มีความเร็วสูงกว่ามาก
- IKEv2/IPSec — โปรโตคอลที่มีความเร็วและปลอดภัยพร้อมทนทานต่อการเปลี่ยนเครือข่าย ยกตัวอย่างเช่น การเชื่อมต่อ VPN จะไม่ถูกตัดถ้าคุณเปลี่ยนจากการใช้ข้อมูลมือถือไปเป็น Wi-Fi
- SoftEther — โปรโตคอลโอเพนซอร์ซที่เร็วและปลอดภัย แต่มี VPN น้อยรายที่มี SoftEther ให้ใช้งาน เพราะว่ามันยากต่อการบูรณาการเข้ากับบริการของพวกเขา
- SSTP — โปรโตคอลที่ปลอดภัยแต่ VPN ส่วนใหญ่ไม่ใช้มันเนื่องจากมันไม่มีให้ใช้งานบน iOS และ macOS
- L2TP/IPSec — มีความปลอดภัยในระดับใช้ได้และมีความเร็วดี แต่ VPN ระดับท็อปส่วนใหญ่ไม่เลือกใช้โปรโตคอลนี้เนื่องจากเคยเกิดความเสียหายเพราะองค์กรของรัฐบาล
- PPTP — มีความเร็วสูงมากแต่การเข้ารหัสอ่อนแอมาก เป็นเหตุผลว่าทำไม VPN ชั้นนำส่วนใหญ่ถึงไม่รองรับโปรโตคอลนี้
นอกจากนี้แล้วผู้ให้บริการบางรายก็ยังมีโปรโตคอลที่มีความปลอดภัยและความเร็วสูงเป็นของตนเอง — ยกตัวอย่างเช่น ExpressVPN มี Lightway และ Hotspot Shield ก็มี Hydra
VPN ทำให้ความเร็วตกลงหรือเปล่า?
การใช้ VPN จะทำให้ความเร็วของคุณตกลงเล็กน้อย และนี่คือเหตุผลว่าทำไม:
- การเข้ารหัส VPN จะทำการเข้ารหัสทราฟฟิคของคุณและกระบวนการเข้ารหัสและถอดรหัสจะเพิ่มเวลาที่ VPN ต้องใช้ในการส่งข้อมูลให้ ISP
- มันจะส่งทราฟฟิคของคุณผ่านไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN แทนที่จะส่งตรงไปยังอินเทอร์เน็ต การเชื่อมต่อของคุณจะต้องผ่านเซิร์ฟเวอร์ VPN ก่อน ยิ่งระยะทางระหว่างคุณกับเซิร์ฟเวอร์ VPN อยู่ไกลกันมากแค่ไหน มันก็จะยิ่งใช้เวลานานขึ้นเท่านั้นในการเดินทางของสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากอุปกรณ์ของคุณไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN
แต่ VPN ที่ดีที่สุดทั้งหลายต่างก็จะทำให้ความเร็วที่ตกลงนั้นแทบจะสังเกตไม่เห็นเลย ในการทดสอบของเรา ExpressVPN เป็น VPN ที่เร็วที่สุดในปี2024
วิธีการเพิ่มความเร็ว VPN
ถ้าคุณรู้สึกได้ว่าความเร็วตกลงอย่างชัดเจน ถึงแม้จะใช้ VPN ที่มีความเร็วสูงแล้ว นี่จะเป็นทางเลือกในการแก้ปัญหา:
- ใช้ฟีเจอร์เชื่อมต่ออย่างเร็ว (quick-connect) VPN ชั้นนำส่วนใหญ่ต่างก็มีฟีเจอร์นี้ซึ่งจะช่วยทำการเชื่อมต่อคุณไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุดสำหรับคุณโดยอัตโนมัติ
- เลือกเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ไม่ไกลด้วยตนเอง ถ้าไม่มีฟีเจอร์เชื่อมต่ออย่างเร็วให้ใช้งาน เราก็ขอแนะนำให้คุณเลือกเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ในประเทศของคุณ ถ้าไม่มีเซิร์ฟเวอร์ในประเทศของคุณ ก็ให้เลือกเซิร์ฟเวอร์ในประเทศที่อยู่ใกล้เคียงแทน
- เลือกโปรโตคอล VPN ที่มีความเร็วสูง VPN ส่วนใหญ่จะเลือก OpenVPN เป็นค่าเริ่มต้น แต่เราแนะนำให้เลือกใช้ WireGuard หรือ IKEv2/IPSec ซึ่งมีความเร็วกว่า OpenVPN แทน
- ใช้ split-tunneling (ถ้ามี) ฟีเจอร์นี้จะเปิดให้คุณเลือกว่าแอปหรือเว็บไซต์ไหนบ้างที่คุณจะให้ใช้งานผ่าน VPN และแอปหรือเว็บไซต์ไหนที่จะให้ผ่านเครือข่ายปกติ ยิ่งมีทราฟฟิควิ่งผ่าน VPN น้อย มันก็ยิ่งเพิ่มความเร็วให้คุณ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยากจะใช้ VPN เฉพาะสำหรับโหลดบิตทอร์เรนต์ คุณก็สามารถใช้ split tunneling เฉพาะกับทราฟฟิค P2P ผ่าน VPN ได้
- อย่าใช้ Wi-Fi ความเร็วของ Wi-Fi นั้นจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของสัญญาณการเชื่อมต่อ Wi-Fi ของคุณ ดังนั้นถ้าสัญญาณอ่อน ความเร็วของคุณก็จะตกลง เราแนะนำให้ใช้การเชื่อมต่อแบบเสียบสายแทน (ที่เรียกว่าการเชื่อมต่อแบบ ethernet) — ความเร็ว VPN ของเราจะเร็วกว่าถึง 40–60% เวลาที่เชื่อมต่อแบบสาย
- ปิดแอปพื้นหลัง แอปที่ไม่ได้ใช้งานแต่เชื่อมต่อกับเว็บอยู่นั้นจะกินแบนด์วิดท์และทำให้ความเร็วของ VPN ตกลงได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณใช้ VPN เฉพาะสำหรับการสตรีมมิ่ง คุณควรจะปิดโซเชียลมีเดียและเกมที่ไม่ได้เล่นไปก่อน
อะไรคือนโยบายการไม่บันทึกข้อมูล และมันสำคัญยังไง?
นโยบายการไม่บันทึกข้อมูลคือการที่ VPN ยืนยันว่าพวกเขาจะไม่เก็บข้อมูลที่อยู่ IP และทราฟฟิคการท่องเว็บของคุณ แบบนี้ถ้ารัฐบาลมาร้องขอข้อมูลผู้ใช้งาน ทาง VPN ก็จะไม่มีข้อมูลใด ๆ ให้กับพวกเขา
VPN ชั้นนำทั้งหมดในปี2024 ต่างก็มีนโยบายการไม่บันทึกข้อมูลที่เข้มงวด โดยที่พวกเขาจะระบุชัดเจนว่า VPN เก็บและไม่เก็บข้อมูลอะไรบ้าง
VPN จะช่วยการันตีความเป็นส่วนตัวทางออนไลน์ได้หรือไม่?
VPN จะช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณทางออนไลน์โดยการซ่อนทราฟฟิคของคุณและป้องกันไม่ให้ใครมาสะกดรอยตามที่อยู่ IP ของคุณได้ อย่างไรก็ตาม การที่จะการันตีได้จริง ๆ ถึงความเป็นส่วนตัวทางออนไลน์ของคุณ VPN จะต้องมีนโยบายการไม่บันทึกข้อมูล
ประเด็นก็คือ VPN ส่วนใหญ่ต่างก็มีนโยบายการไม่บันทึกข้อมูล สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างและยืนยันได้จริงว่าความเป็นส่วนตัวของคุณจะได้รับการปกป้องก็คือว่านโยบายการไม่บันทึกข้อมูลนั้นเคยผ่านการตรวจสอบจากภายนอกหรือเปล่า
ลองดู ExpressVPN, Proton VPN, TunnelBear และ VyprVPN เป็นตัวอย่าง — VPN แต่ละรายนี้ต่างก็เคยถูกตรวจสอบนโยบายการไม่บันทึกข้อมูลจากองค์กรอิสระมาแล้ว และก็ได้รับการยืนยันจากบริษัทด้านความปลอดภัยที่เป็นบุคคลที่สามด้วย CyberGhost VPN, Private Internet Access และ Proton VPN ต่างก็มีรายงานความโปร่งใส ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเคยถูกร้องขอข้อมูลผู้ใช้งานมาจากรัฐบาลและผู้รักษากฎหมาย แต่ว่า VPN นั้นไม่มีข้อมูลใด ๆ จะให้กับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น Private Internet Acess ก็ได้รับการยืนยันเรื่องนโยบายการไม่บันทึกข้อมูลมาแล้วหลายครั้งจากเอกสารในชั้นศาลของสหรัฐอเมริกา และ ExpressVPN ก็ได้รับการพิสูจน์มาแล้วเช่นกันตอนที่เจ้าหน้าที่ชาวตุรกีได้ยึดเซิร์ฟเวอร์ของพวกเขาไว้ แต่ก็ไม่พบกับข้อมูลผู้ใช้งานใด ๆ
ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่า VPN ของฉันทำงานหรือไม่?
วิธีการตรวจสอบที่ดีที่สุดว่า VPN ของคุณทำงานหรือไม่ก็คือการทดสอบการรั่วไหล ซึ่งจะเป็นการตรวจสอบว่ามีเฉพาะที่อยู่ IP ของ VPN คุณเท่านั้นที่ถูกเปิดเผยออกไป ไม่ใช่ที่อยู่ IP จริงของคุณ นี่คือวิธีการ 5 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการทดสอบการรั่วไหลของ VPN:
- ขั้นตอนที่ 1 เข้า ipleak.net โดยที่ไม่เชื่อมต่อ VPN
- ขั้นตอนที่ 2 ถ่ายภาพหน้าจอของผลลัพธ์ไว้ ซึ่งมันจะแสดงให้เห็นที่อยู่ IP และ DNS จริงของคุณ
- ขั้นตอนที่ 3 เปิดแอป VPN และเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN
- ขั้นตอนที่ 4 เข้า ipleak.net อีกครั้ง
- ขั้นตอนที่ 5 เปรียบเทียบผลลัพธ์กับภาพที่ถ่ายเอาไว้ก่อนหน้า ถ้าผลลัพธ์ปัจจุบันไม่แสดงที่อยู่ IP หรือ DNS จริงของคุณ ก็แปลว่า VPN ทำงานแล้ว
ถ้าคุณเห็นที่อยู่ IP และ DNS ในผลลัพธ์การทดสอบการรั่วไหล ก็แปลว่า VPN ยังไม่ทำงานและข้อมูลของคุณกำลังรั่วไหล ถ้าเกิดกรณีแบบนั้นขึ้น เราก็ขอแนะนำให้คุณเปลี่ยนผู้ให้บริการไปใช้ VPN ที่ป้องกันการรั่วไหลอย่างแน่นหนา ส่วนตัวแล้วเราจะเลือกใช้ ExpressVPN, เนื่องจาก มันมีการป้องกันการรั่วไหล DNS, IPv6, และ WebRTC เต็มรูปแบบ เราทำการทดสอบการรั่วไหลในขณะที่เชื่อมต่อไปเซิร์ฟเวอร์ใน 20+ ประเทศและก็ไม่พบการรั่วไหลเลย
การใช้ VPN นั้นผิดกฎหมายหรือไม่?
การใช้ VPN นั้นเป็นเรื่องถูกกฎหมายในหลายประเทศ — มันจะผิดกฎหมายก็เฉพาะถ้าคุณใช้ VPN ไปทำเรื่องผิดกฎหมายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ประเทศที่มีข้อจำกัดเยอะอย่างเช่น จีน อิหร่าน และซาอุดีอาระเบีย ต่างก็แบนการใช้ VPN ดังนั้นคุณอาจจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้ ถ้าคุณถูกจับได้ว่าใช้งาน VPN ในประเทศเหล่านั้น
เราและทีมงานต่างก็อยากแนะนำให้คุณศึกษากฎหมายในประเทศของคุณหรือประเทศที่คุณจะเดินทางไปให้แน่ใจก่อนว่าคุณสามารถใช้ VPN ได้อย่างปลอดภัย
VPN ที่ดีที่สุดในปี 2024
สรุปโดยย่อเกี่ยวกับ VPN ที่ดีที่สุดในปี 2024:
- 🥇1. ExpressVPN — VPN ที่ดีที่สุดในภาพรวมปี 2024
- 🥈2. Private Internet Access — VPN ดีเยี่ยมสำหรับโหลดบิตทอร์เรนต์
- 🥉3. Proton VPN — VPN ที่ดีสำหรับความปลอดภัยขั้นสูง
- 4. NordVPN — ความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมน่าเชื่อถือ & ความเร็วที่ดีในทุกเซิร์ฟเวอร์
- 5. Surfshark — เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ (แผนราคาถูก)
🥇1. ExpressVPN — VPN ที่ดีที่สุดในปี 2024
ExpressVPN เป็น VPN ที่เราชื่นชอบมากที่สุด — มันมีฟีเจอร์ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวระดับชั้นนำของโลก และก็มีความเร็วสูงที่สุดอีกด้วย นอกจากนี้ยังรองรับการสตรีมมิ่งและการโหลดบิตทอร์เรนต์ได้ดีเยี่ยม ทั้งยังใช้งานง่ายอีกด้วย
และก็ยังมีนโยบายการไม่บันทึกข้อมูลอันเข้มงวดซึ่งผ่านการตรวจสอบจากองค์กรอิสระมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ExpressVPN ยังมี:
- เซิร์ฟเวอร์ RAM-only — เซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดของ ExpressVPN นั้นทำงานด้วย RAM หมายความว่าจะไม่มีการเก็บข้อมูลใด ๆ ไว้บนฮาร์ดไดรฟ์ และข้อมูลจะถูกล้างทุกครั้งที่รีเซ็ตเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ไม่มีการทิ้งร่องรอยออนไลน์ของคุณเอาไว้เลย
- Perfect forward secrecy — มีการเปลี่ยนคีย์การเข้ารหัสสำหรับทุกครั้งที่ใช้ VPN เพื่อป้องกันอาชญากรไซเบอร์ไม่ให้ใช้คีย์ในอดีตหรือในอนาคตเพื่อแอบดูทราฟฟิคของคุณได้
- Threat Manager — จำกัดปริมาณข้อมูลที่อุปกรณ์ของคุณจะแชร์ให้กับตัวติดตามโฆษณา และบล็อกการเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์อันตราย
ExpressVPN เป็น VPN ที่ดีที่สุดสำหรับสตรีมมิ่งและโหลดบิตทอร์เรนต์ มันสามารถใช้งานได้กับ 65+ บริการ — ในการทดสอบของเรานั้น มันสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ดัง ๆ อย่างเช่น Netflix, Disney+, HBO Max และ Amazon Prime ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังชอบที่ ExpressVPN รองรับทราฟฟิค P2P ในทุกเซิร์ฟเวอร์ และมันก็สามารถใช้งานร่วมกับ client ทอร์เรนต์ยอดนิยมอย่าง Vuze, qBittorrent และ uTorrent ได้
นอกจากนี้เราก็ชอบที่ ExpressVPN มี 3,000+ เซิร์ฟเวอร์ใน 90+ ประเทศ(รวมถึง ประเทศไทย) เพราะมันทำให้สามารถเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ไม่ไกลเพื่อให้ได้ความเร็วที่สูงขึ้นได้ นอกจากนี้ก็ยังมีตัววัดความเร็วแบบบิ้วท์อินที่จะช่วยให้คุณค้นหาเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุดสำหรับตำแหน่งของคุณได้ เมื่อพูดถึงเรื่องฟีเจอร์เสริมพิเศษ ExpressVPN ก็มี split tunneling บน Android, Windows และ Macs. นอกจากนี้คุณยังได้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านดี ๆ ไปใช้งานด้วย (Express Keys)
ยิ่งไปกว่านั้น ExpressVPN ก็มีแอปที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานมือใหม่สำหรับ iOS, Android, Windows, macOS (ทั้งหมดนี้มีภาษาไทยให้ใช้หมด), Linux และสมาร์ททีวี มันยังเป็นหนึ่งใน VPN หายากที่รองรับเราเตอร์อีกด้วย
แพลนของ ExpressVPN ราคาเริ่มต้นที่ US$4.99 / เดือน และสามารถเชื่อมต่อได้พร้อมกัน 5 การเชื่อมต่อ — มันเป็น VPN ที่ราคาอาจจะแพงกว่ารายอื่น แต่โดยรวมแล้วคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง แถม ExpressVPN ยังมีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วันอีกด้วย
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ ExpressVPN ของพวกเรา
🥈2. Private Internet Access — VPN ปลอดภัยยอดเยี่ยมสำหรับโหลดบิตทอร์เรนต์
Private Internet Access (PIA) มีความเป็นส่วนตัวสูง ใช้งานร่วมกับเว็บไซต์สตรีมมิ่งชั้นนำได้ทั้งหมด และก็เหมาะมาก ๆ สำหรับใช้โหลดบิตทอร์เรนต์ มันรองรับทราฟฟิค P2P บนทุกเซิร์ฟเวอร์ และก็มี port forwarding ซึ่งจะทำให้คุณเชื่อมต่อเข้าหา peer ได้มากยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดบิตทอร์เรนต์ เมื่อไรก็ตามที่เราใช้ port forwarding ความเร็ว P2P ของเราจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10—15%
นโยบายการไม่บันทึกข้อมูลของ PIA ยังไม่ผ่านการตรวจสอบโดยองค์กรอิสระเหมือนอย่าง ExpressVPN — แต่เคยได้รับการพิสูจน์ในชั้นศาลมาแล้วหลายครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น แอปทั้งหมดของ PIA นั้นก็เป็นแบบโอเพนซอร์ซ ซึ่งหมายความว่าทุกคนมีสิทธิ์เข้าไปตรวจสอบช่องโหว่ในโค้ดได้
ในแง่ของความปลอดภัยแล้ว PIA มีเซิร์ฟเวอร์แบบ RAM-only ใน 80+ ประเทศ , perfect forward secrecy และการป้องกันการรั่วไหลแบบเต็มรูปแบบ นอกจากนี้คุณยังจะสามารถใช้งาน Identity Guard ซึ่งจะช่วยแจ้งเตือนคุณเวลาที่ข้อมูลส่วนตัวของคุณ (เช่นที่อยู่อีเมล) เกิดการรั่วไหลออกไป
Split-tunneling ก็มีให้ใช้งานเช่นกัน และเราชอบมากที่ PIA เปิดให้คุณใช้ split tunneling ได้สำหรับทั้งแอปและที่อยู่ IP (ExpressVPN เปิดให้ใช้ได้กับแอปเท่านั้น) นอกจากนี้มันยังมี ตัวบล็อกโฆษณาตัวติดตามและมัลแวร์ที่ดีที่สุดสำหรับ VPN อีกด้วย (ชื่อ PIA MACE) — มันจะกำจัดโฆษณาและทำให้สามารถโหลดเพจได้เร็วขึ้น
PIA นั้นไม่เร็วเท่า ExpressVPN ระหว่างที่เราทำการทดสอบความเร็ว แต่เราก็ยังถือว่าเร็วใช้ได้ดีพอสำหรับทำกิจกรรมออนไลน์ต่าง ๆ แอปที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานนั้น มีภาษาไทยรองรับ สำหรับทุกแพลตฟอร์มสำคัญ — เราชอบเป็นพิเศษที่แอปทั้งหมดนี้มีคำอธิบายที่เป็นประโยชน์สำหรับทุกการตั้งค่าและฟีเจอร์ทั้งหมด
Private Internet Access เปิดให้เชื่อมต่อได้พร้อมกัน ไม่จำกัด การเชื่อมต่อและก็มีแพลนราคาไม่แพงเริ่มต้นที่ US$2.03 / เดือน มันรับประกันคืนเงินทุกคำสั่งซื้อภายใน 30 วัน
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ Private Internet Access ของพวกเรา
🥉3. Proton VPN — VPN ดีมีความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวระดับชั้นนำ
Proton VPN เป็น VPN ที่มีความปลอดภัยสูงมาก — มันมี perfect forward secrecy, การป้องกันการรั่วไหลเต็มรูปแบบ และการเข้ารหัสแบบ full-disk encryption ซึ่งจะทำให้ข้อมูลทั้งหมดบนเซิร์ฟเวอร์ของ Proton VPN นั้นไม่สามารถถูกเปิดอ่านได้ นอกจากนี้เรายังชอบฟีเจอร์ NetShield ซึ่งจะช่วยบล็อก มัลแวร์ โฆษณา และตัวติดตามได้
ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายการไม่บันทึกข้อมูลของ Proton VPN ก็ได้ผ่านการตรวจสอบและยืนยันจากองค์กรอิสระมาแล้ว พร้อมทั้งมีรายงานความโปร่งใสด้วย และแอปทั้งหมดของพวกเขานั้นก็เป็นโอเพนซอร์ซ และก็ผ่านการตรวจสอบแล้ว (พบแค่ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ซึ่ง Proton VPN ก็รีบแก้ไขให้อย่างรวดเร็ว)
แถมเรายังชอบโครงสร้างเซิร์ฟเวอร์ Secure Core ของ VPN นี้ด้วย — มันจะส่งทราฟฟิคของคุณผ่านเซิร์ฟเวอร์ VPN 2 เซิร์ฟเวอร์แทน 1 เซิร์ฟเวอร์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้การเข้ารหัสไปอีกชั้นหนึ่ง
Proton VPN มี 6,305 เซิร์ฟเวอร์ใน 60+ ประเทศ (รวมถึงประเทศไทย) และก็มีความเร็วสูงมากสำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ไม่ไกล แต่บางครั้งเราก็รู้สึกได้ว่าความเร็วมันตกลงอย่างชัดเจนเวลาใช้เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างไกล โชคยังดีที่เราสามารถใช้ VPN Accelerator ของ Proton VPN ได้ ซึ่งมันจะใช้เทคโนโลยีพัฒนาประสิทธิภาพเพื่อช่วยเพิ่มความเร็ว VPN ถึงงั้นแล้ว แต่ความเร็วของเราก็ยังไม่เร็วเท่ากับ ExpressVPN และ Private Internet Access
Proton VPN นั้นใช้งานร่วมกับบริการสตรีมมิ่งสำคัญ ๆ ได้ทั้งหมด , รวมถึง Netflix (สหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ) และ Disney+ มันยังรองรับ P2P ได้ดีอีกด้วยเนื่องจากมี port forwarding และอนุญาตทราฟฟิค P2P ใน 16+ ประเทศ — ถึงงั้นแล้ว Private Internet Access ก็มี port forwarding เช่นกัน แต่อนุญาตทราฟฟิค P2P บนทุกเซิร์ฟเวอร์ในทุกประเทศ ซึ่งก็สะดวกกว่า
Proton VPN มีแพลนระดับฟรีที่ดีที่สุดเพราะว่ามันเปิดให้ใช้ข้อมูลได้ไม่จำกัด แต่ถ้าอัปเกรดไปเป็น Proton VPN แพลน Plus (ราคาเริ่มต้นที่ US$2.99 / เดือน) จะเพิ่มการเชื่อมต่อพร้อมกัน 10 การเชื่อมต่อ, การรองรับสตรีมมิ่งและโหลดบิตทอร์เรนต์, เซิร์ฟเวอร์ Secure Core, NetShield และอื่น ๆ Proton VPN รับประกันคืนเงินตามสัดส่วนทุกคำสั่งซื้อภายใน 30 วัน
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ Proton VPN ของพวกเรา
4. NordVPN — ความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมน่าเชื่อถือ & ความเร็วที่ดีในทุกเซิร์ฟเวอร์
NordVPN นำเสนอฟีเจอร์ความปลอดภัยหลากหลายที่ช่วยรักษาข้อมูลของคุณให้ปลอดภัยเมื่อใช้งานอินเตอร์เน็ต เช่น Threat Protection ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือบล็อกโฆษณา VPN ที่ดีที่สุดและยังกำจัดโฆษณาที่เป็นอันตราย บล็อกการเชื่อมต่อกับไซต์ที่ไม่น่าไว้ใจและปกป้องอุปกรณ์ของคุณจากมัลแวร์ ยิ่งไปกว่านั้น Threat Protection ยังคงทำงานอยู่แม้ว่าคุณจะไม่ได้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ VPN ซึ่งมันสะดวกมาก
นอกจากนี้ยังมี Dark Web Monitor ซึ่งจะสแกนดาร์กเว็บและแจ้งเตือนหากชื่อบัญชีที่เกี่ยวข้องกับ NordVPN ของคุณรั่วไหล ฉันดีใจมากที่ได้ตัวเลือกนี้ เนื่องจากเป็นหนึ่งใน VPN เดียวในตลาดที่มาพร้อมกับฟีเจอร์การตรวจสอบดาร์กเว็บ
ยิ่งไปกว่านั้น NordVPN ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมอื่น ๆ เช่น เซิร์ฟเวอร์ VPN สองขั้น ซึ่งเพิ่มการชั้นเข้ารหัสอีกชั้นหนึ่งและยังมาพร้อมกับการพรางการเชื่อมต่ออีกด้วย นอกจากนี้ VPN ยังมีโปรโตคอลของตัวเองที่เรียกว่า NordLynx ซึ่งออกแบบมาเพื่อมอบความปลอดภัยที่แข็งแกร่งและความเร็วที่รวดเร็ว
NordVPN ยังมีฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูงอื่น ๆ อีกด้วย ซึ่งรวมถึงการป้องกันการรั่วไหลเต็มรูปแบบ เซิร์ฟเวอร์ RAM และ Perfect Forward Secrecy นโยบายการไม่บันทึกการใช้งานของบริการได้รับการตรวจสอบโดยบริการอิสระแล้วว่าเป็นจริงเมื่อหนึ่งในศูนย์ข้อมูลซึ่งเป็นที่ตั้งของเซิร์ฟเวอร์ได้ประสบกับปัญหาข้อมูลรั่วไหล แต่ไม่มีข้อมูลผู้ใช้รายใดถูกเผยแพร่ออกมาได้
บริการนี้ยังยอดเยี่ยมสำหรับการสตรีมและทอร์เรนต์อีกด้วย บริการสามารถเข้าถึงบริการสตรีมยอดนิยมมากมาย เช่น Netflix และ BBC iPlayer และมีเซิร์ฟเวอร์ P2P มากกว่า 4,500 เซิร์ฟเวอร์ เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้มีความเร็วที่ดีเหมาะสำหรับการสตรีม ทอร์เรนต์และกิจกรรมออนไลน์อื่น ๆ
ฉันยังคิดว่า NordVPN เป็น VPN สำหรับเล่นเกมที่ดีด้วยฟีเจอร์ Meshnet ซึ่งช่วยให้คุณเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้สูงสุด 60 เครื่องผ่านการเชื่อมต่อ VPN ที่เข้ารหัส สิ่งนี้ช่วยให้คุณโฮสต์ปาร์ตี้ LAN เสมือนได้อย่างปลอดภัย
นอกจากนี้ VPN ยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย บริการมีมากกว่า 5,000 เซิร์ฟเวอร์ใน 55 ประเทศ (รวมถึงประเทศไทย) มาพร้อมฟีเจอร์ Split-tunneling และมีแอปที่ใช้งานได้ง่ายสำหรับแพลตฟอร์มหลักทั้งหมด
NordVPN มีแผนบริการราคาไม่แพง ซึ่งเริ่มต้นที่ US$2.99 / เดือน แผนบริการทั้งหมดมีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ NordVPN ของพวกเรา
5. Surfshark — VPN ที่ยอดเยี่ยมสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ & มีราคาถูก
Surfshark ให้คุณสามารถเชื่อมต่อได้โดยไม่มีข้อจำกัด คุณสามารถเชื่อมต่อในกี่อุปกรณ์ก็ได้ ดังนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ที่มองหา VPN ที่ดี ฉันดีใจมากที่ได้เห็นตัวเลือกนี้ เพราะมีไม่กี่บริการที่ให้การเชื่อมต่อไม่จำกัดอุปกรณ์
บริการมาพร้อมกับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ดีมาก รวมถึง CleanWeb ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือบล็อกโฆษณาบน VPN ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์พรางการเชื่อมต่อ การเชื่อมต่อ VPN สองชั้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และ IP Rotator ซึ่งช่วยเปลี่ยนหมายเลข IP ของคุณเป็นประจำเพื่อให้ผู้อื่นติดตามตำแหน่งของคุณได้ยากขึ้น ผู้ให้บริการยังมีฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูง เช่น เซิร์ฟเวอร์เฉพาะ RAM และ Perfect Forward Secrecy อย่างไรก็ตามบริการไม่มีการป้องกันการรั่วไหลเต็มรูปแบบ (แต่ฉันไม่เคยพบการรั่วไหลในการทดสอบของฉันเลย)
บริการสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งหลัก ๆ อย่าง Netflix, HBO Max และ BBC iPlayer ได้ แต่ไม่สามารถเข้าถึง Disney+ ได้ นอกจากนี้ยังรองรับการดาวน์โหลด P2P ในทุกเซิร์ฟเวอร์
บริการมีมากกว่า 3,200 เซิร์ฟเวอร์ในกว่า 90 ประเทศ (รวมถึงประเทศไทยด้วย) ซึ่งทำให้สามารถค้นหาเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้เคียงได้อย่างรวดเร็ว พูดถึงเรื่องความเร็วแล้ว ความเร็วในเซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่นั้นรวดเร็วมาก แต่ฉันพบกับการชะลอตัวอย่างมากในเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล
Surfshark เป็นหนึ่งใน VPNs ที่มีราคาถูกที่สุดในตลาด มาพร้อมแผนบริการเริ่มต้นที่ US$1.99 / เดือน ดังนั้นนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณมีงบจำกัด แผนบริการทั้งหมดมาพร้อมกับการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ Surfshark ของพวกเรา
หมายเหตุจากบรรณาธิการ: Intego, Private Internet Access, CyberGhost และ ExpressVPN มีเจ้าของบรอการคือ Kape Technologies ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับบริการของเรา
การเปรียบเทียบระหว่าง VPN ที่ดีที่สุดในปี 2024
หมายเหตุจากบรรณาธิการ: Intego, Private Internet Access, CyberGhost และ ExpressVPN มีเจ้าของบรอการคือ Kape Technologies ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับบริการของเรา
วิธีการเลือก VPN ที่ดีที่สุดสำหรับอุปกรณ์ของคุณ
- ความปลอดภัยแข็งแกร่ง เราแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้เลือก VPN ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม VPN อย่างเช่น การเข้ารหัส 256-bit AES, kill switch ที่ปิดการเข้าถึงออนไลน์ถ้า VPN เกิดขาดการเชื่อมต่อเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล, นโยบายการไม่บันทึกข้อมูล และการป้องกันการรั่วไหลของ DNS, IPv6 หรือ WebRTC
- รองรับสตรีมมิ่งและการโหลดบิตทอร์เรนต์ VPN ที่ดีจริงจะต้องใช้งานร่วมกับเว็บไซต์สตรีมมิ่งยอดนิยมอย่าง Netflix, Disney+ และ BBC iPlayer ได้ นอกจากนี้ VPN ทั้งหมดที่เราแนะนำนั้นต่างก็รองรับทราฟฟิค P2P ได้
- เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ เราแนะนำเฉพาะ VPN ที่มีเซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่หลายแห่งทั่วโลก ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถค้นหาและเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ไม่ไกลพร้อมทั้งหลีกเลี่ยงเซิร์ฟเวอร์ที่คนเยอะได้ คุณจะได้ VPN ที่มีความเร็วในการเชื่อมต่อสูง ExpressVPN มี 3,000+ เซิร์ฟเวอร์ ใน 90+ ประเทศ
- ความเร็วสูง ในขณะที่ VPN ทั้งหมดนั้นต่างก็จะทำให้ความเร็วของคุณตกลงเนื่องจากกระบวนการเข้ารหัสและถอดรหัส รวมถึงระยะทางระหว่างอุปกรณ์ของคุณและเซิร์ฟเวอร์ VPN แต่ VPN ในรายการนี้ต่างก็มีความเร็วสูงพอสำหรับเรา เพื่อใช้ในการท่องเว็บ สตรีมมิ่ง โหลดบิตทอร์เรนต์ และเล่นเกม
- รองรับการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม VPN ที่ดีที่สุดนั้นจะต้องมีแอปให้ใช้งานสำหรับระบบปฏิบัติการสำคัญ ๆ ซึ่งรวมถึง iOS, Android, Windows, macOS และ Linux ExpressVPN ถึงขั้นมีแอปสำหรับแอนดรอยด์ทีวี , Amazon fire stick และเราเตอร์ด้วย
- ใช้งานสะดวก VPN ทั้งหมดที่เราแนะนำนั้นมีแอปที่ติดตั้งง่าย มีอินเทอร์เฟซเข้าใจง่ายพร้อมคำอธิบายที่มีประโยชน์สำหรับทุกฟีเจอร์และการตั้งค่า
- ฝ่ายให้บริการลูกค้า หากคุณประสบปัญหา ExpressVPN, Private Internet Access และ Proton VPN ก็จะมีแพลตฟอร์มให้บริการลูกค้าแบบเจาะลึก อย่างเช่น คำถามที่พบบ่อย, การสอนใช้งาน และคู่มือแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งยังมีไลฟ์แชท 24/7 และการให้บริการทางอีเมล
- คุ้มค่า VPN ที่ดีที่สุดจะต้องเชื่อมต่อได้พร้อมกันหลายอุปกรณ์ (Private Internet Access และ Proton VPN อนุญาตให้เชื่อมต่อได้พร้อมกันถึง ไม่จำกัด การเชื่อมต่อ และก็มาพร้อมกับฟีเจอร์เสริมพิเศษอย่างเช่น split tunneling และตัวบล็อกโฆษณา มีแพลนในราคาถูก และก็มีการรับประกันคืนเงินสำหรับทุกการสั่งซื้อ
คำถามพบบ่อย
คุณจะใช้ VPN ไปเพื่ออะไร?
คุณสามารถใช้ VPN ทำประโยชน์ได้หลายข้อ รวมถึง:
- ปกป้องข้อมูลของคุณเวลาที่คุณท่องเว็บ
- เข้าถึงเว็บไซต์สตรีมมิ่งเวลาที่คุณเดินทางไปต่างประเทศ
- เพิ่มความปลอดภัยให้ทราฟฟิค P2P
- เสริมประสบการณ์ในการเล่นเกมของคุณ
- หลีกเลี่ยงไฟร์วอลล์ที่จำกัดการเข้าถึงทางออนไลน์ของคุณ
- ป้องกันไม่ให้ ISP ของคุณมา throttle แบนด์วิดท์ของคุณ
VPN รายไหนที่ดีที่สุด?
ExpressVPN คือ VPN ที่ดีที่สุดในปี 2024 — มันมี 3,000+ เซิร์ฟเวอร์ใน 90+ ประเทศ มีฟีเจอร์ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวระดับชั้นนำของโลก ใช้งานร่วมกับเว็บไซต์สตรีมมิ่งชั้นนำได้ทั้งหมด (รวมถึง Netflix สหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ , Disney+ และ BBC iPlayer) มีแอปที่เข้าใจง่ายสำหรับทุกแพลตฟอร์มและมีการรับประกันคืนเงินทุกการสั่งซื้อภายใน 30 วัน
แต่ VPN ดี ๆ ตัวอื่นก็มีให้เลือกใช้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น Private Internet Access นั้นเหมาะมากสำหรับโหลดบิตทอร์เรนต์และ Proton VPN ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวระดับชั้นนำ
VPN ใช้งานกับ Netflix ได้หรือไม่?
ได้ คุณสามารถใช้ VPN ในการเข้าถึง Netflix อย่างไรก็ตาม เราต้องขอบอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่ VPN ทุกรายที่จะใช้ร่วมกับ Netflix ได้ เนื่องจากเว็บไซต์สตรีมมิ่งมักจะทำการบล็อกการเชื่อมต่อจาก VPN หากคุณกำลังมองหา VPN ที่ดีมากๆ สำหรับ Netflix เราขอแนะนำ ExpressVPN — มันสามารถเข้าถึงได้กว่า 10+ ประเทศ มีความเร็วในการสตรีมมิ่งสูงที่สุด และก็ใช้งานง่ายมาก ๆ
VPN มีราคาเท่าไร?
โดยเฉลี่ยแล้ว VPN จะมีค่าใช้จ่าย 280 ถึง 460 บาท ต่อเดือน แต่ผู้ให้บริการต่างก็มีแพลนระยะยาวซึ่งจะช่วยประหยัดเงินได้มากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แพลนระยะยาวที่สุดของ ExpressVPN เริ่มต้นที่ US$4.99 / เดือน และก็แถมเดือนให้ใช้ฟรีถึง 3 เดือน
หากคุณกำลังตามหา VPN ดีและราคาถูก ให้ลองดู Private Internet Access ซึ่งมีราคาถูกถึง US$2.03 / เดือน
มี VPN ฟรีให้ใช้งานได้หรือไม่?
มี แต่โดยรวมแล้วเราอยากแนะนำให้หลีกเลี่ยง — VPN ฟรีส่วนใหญ่นั้นจะขาดฟีเจอร์ความปลอดภัยสำคัญ ๆ (อย่างเช่น kill switch และนโยบายการไม่บันทึกข้อมูล) ใช้งานร่วมกับเว็บไซต์สตรีมมิ่งไม่ได้ จำกัดปริมาณข้อมูลที่คุณสามารถใช้ได้ มีความเร็วต่ำมาก และแอปก็จะมีบัคเยอะ
ถึงงั้นก็ตาม ถ้าคุณยังยืนกรานที่จะใช้ VPN ฟรี เราก็อยากจะแนะนำ Proton VPN เนื่องจากมันเป็น VPN ฟรีที่ดีที่สุด มันมีข้อมูลไม่จำกัด ความปลอดภัยที่แน่นหนา และความเร็วดี อย่างไรก็ตาม มันจะจำกัดการเชื่อมต่อไว้แค่ 1 การเชื่อมต่อ มีเซิร์ฟเวอร์แค่ใน 3 ประเทศ (สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์) และก็ไม่รองรับการสตรีมมิ่งหรือการโหลดบิตทอร์เรนต์
โดยรวมแล้ว เราแนะนำให้เลือกใช้ VPN พรีเมียมราคาถูกอย่างเช่น ExpressVPN หรือจาก แพลนจ่ายเงินของ Proton VPN เพราะว่ามันจะคุ้มค่ากว่าอย่างชัดเจน
ฉันสามารถใช้ VPN ร่วมกับอุปกรณ์มากกว่า 1 อุปกรณ์ได้หรืิอไม่?
ได้ ตามมาตรฐานแล้วจะเชื่อมต่อได้พร้อมกัน 5–7 การเชื่อมต่อ ExpressVPN อนุญาตให้พร้อมกัน 8 การเชื่อมต่อ) ในขณะที่ Private Internet Access และ Proton VPN ให้พร้อมกัน 10 การเชื่อมต่อ
ถ้าคุณมีอุปกรณ์หลากหลาย หรือมีครอบครัวใหญ่ เราก็แนะนำให้เลือกใช้ VPN ที่รองรับการเชื่อมต่อได้พร้อมกันไม่จำกัดจำนวนอย่างเช่น IPVanish
VPN ใช้งานได้กับทุกแพลตฟอร์มหรือไม่?
ได้ VPN ส่วนใหญ่จะมีแอปสำหรับทุกระบบปฏิบัติการสำคัญ ๆ รวมถึง iOS, Android, Windows, macOS และ Linux ผู้ให้บริการชั้นนำส่วนใหญ่จะรองรับ Fire TV และแอนดรอยด์ทีวีด้วย
คุณยังสามารถใช้ VPN กับอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ VPN ในตัวเองได้ด้วย อย่างเช่นเครื่องเล่นเกมหรือสมาร์ททีวี โดยใช้ผ่านเราเตอร์ VPN ส่วนใหญ่นั้นจะติดตั้งบนเราเตอร์ยาก แต่ ExpressVPN มีแอปสำหรับเราเตอร์ที่ติดตั้งง่ายมาก
VPN กับพร็อกซี่ต่างกันอย่างไร??
VPN เป็นบริการออนไลน์ที่เข้ารหัสทราฟฟิคของคุณ และเปลี่ยนที่อยู่ IP ของคุณ พร็อกซี่เป็นบริการที่จะเปลี่ยนที่อยู่ IP แต่ไม่ได้เข้ารหัสทราฟฟิคของคุณ
โดยพื้นฐานแล้ว พร็อกซี่จะมีความปลอดภัยต่ำกว่า VPN ดังนั้นคุณควรจะหลีกเลี่ยงมันถ้าคุณต้องการจะปกป้องข้อมูลออนไลน์ของคุณ