ไม่ค่อยมีเวลาใช่ไหม? นี่คือ VPN Mac ฟรีและดีที่สุดในปี 2024:
- 🥇 ExpressVPN ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ฟรี 100% แต่มันก็เป็น VPN Mac แบรนด์โปรดของเราสำหรับปี 2024 และมันก็มาพร้อมกับการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน ดังนั้นคุณก็สามารถทดลองใช้งานได้อย่างไม่มีความเสี่ยง นอกจากนี้แล้วมันก็ยังมีความปลอดภัยดีเลิศ ความเร็วที่หาใครเทียบไม่ได้ และก็ยังสามารถใช้งานได้อย่างสม่ำเสมอกับเว็บไซต์สตรีมมิ่งอย่าง Netflix, Max, BBC iPlayer และอื่น ๆ อีกด้วย
Mac นั้นมีฟีเจอร์ความปลอดภัยบิ้วท์อินมาดีมากอยู่แล้ว แต่ฟีเจอร์ต่าง ๆ เหล่านี้จะสามารถช่วยปกป้องคุณไม่ให้โหลดมัลแวร์ได้เท่านั้น — มันไม่สามารถช่วยปกป้องข้อมูลของคุณให้ปลอดภัยตอนที่ใช้งานออนไลน์ได้ เพราะแบบนี้ เราจึงใช้งาน VPN อยู่ตลอด มันจะทำการเข้ารหัสทราฟฟิคเว็บไซต์และปิดบังที่อยู่ IP (ตำแหน่ง) ของคุณ หากคุณไม่ประสงค์ที่จะจ่ายเงินเพื่อใช้ VPN มันก็ยังมีตัวเลือกฟรีดี ๆ ให้คุณใช้งานอยู่
แต่พูดกันตรง ๆ ปกติเราจะไม่แนะนำให้คุณใช้ VPN ฟรี สำหรับ Mac เนื่องจากมันมักจะขาดฟีเจอร์ความปลอดภัยที่จำเป็น และมันก็อาจจะบันทึกข้อมูลของผู้ใช้งานไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่แย่มาก ๆ สำหรับความเป็นส่วนตัวของคุณ ยิ่งไปกว่านั้น VPN ฟรี ส่วนใหญ่นั้นจะมีความเร็วที่ต่ำมาก ๆ และมันก็จะจำกัดปริมาณข้อมูลที่คุณสามารถใช้งานได้ นอกจากนี้ในแอปก็ยังมีบัคมากมาย แถมยังบังคับให้คุณใช้ได้แค่ 1 อุปกรณ์ หรือบางทีก็อาจจะไม่รองรับการสตรีมมิ่งและการโหลดบิท
มันจะคุ้มค่าคุ้มเวลามากกว่าถ้าคุณเลือกใช้บริการ VPN แบบจ่ายเงินที่มีราคาไม่แพงอย่าง ExpressVPN ซึ่งเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของเราในปี 2024 — VPN แบบจ่ายเงินระดับชั้นนำนั้นจะมาพร้อมกับความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง ความเร็วที่สูง แอปที่ใช้งานง่าย และการรองรับการสตรีมมิ่งและ P2P เป็นอย่างดี
แต่ถึงงั้นก็ตาม ถ้าคุณต้องการแค่ VPN Mac ฟรี จริง ๆ มันก็ยังมีตัวเลือกดี ๆ ให้คุณใช้งานได้อยู่ — ผู้ให้บริการทั้งหมดที่เราพูดถึงในบทความนี้นั้นต่างก็มีแพลนระดับฟรีที่ใช้งานได้อย่างปลอดภัย มีแอปที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน และบางรายก็มีฟีเจอร์เสริมเพิ่มให้อีกด้วย หมายเหตุจากบรรณาธิการ: ExpressVPN และเว็บไซต์นี้อยู่ในกลุ่มบริษัทที่มีเจ้าของเดียวกัน
ทดลองใช้ EXPRESSVPN เลย (30 วันไม่มีความเสี่ยง)
สรุปโดยย่อเกี่ยวกับ VPN Mac ฟรี ที่ดีที่สุดปี 2024:
- 🥇1. ExpressVPN — VPN Mac ที่ดีที่สุดในภาพรวมแห่งปี 2024 มันไม่ได้ฟรี 100% แต่มีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน นอกจากนี้มันยังมีความปลอดภัยขั้นสูง ความเร็วสูง แอปที่ใช้งานง่าย และความสามารถในการสตรีมมิ่งที่ดีเยี่ยมอีกด้วย
- 🥈2. CyberGhost VPN — ใช้งานสตรีมมิ่งได้ดีมาก เหมาะสำหรับมือใหม่ VPN นี้จำเป็นต้องสมัครสมาชิกแบบจ่ายเงินใช้งาน แต่มันมีให้ทดลองใช้ฟรีได้ 24 ชั่วโมง และก็มีการรับประกันคืนเงินนานถึง 45 วัน สำหรับแพลนระยะยาว นอกจากนี้มันยังใช้งานง่ายและมีเซิร์ฟเวอร์พิเศษสำหรับสตรีมมิ่งอีกด้วย
- 🥉3. Proton VPN — VPN ฟรี สำหรับ macOS ที่เปิดให้ใช้งานได้ไม่จำกัด นอกจากนี้มันยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม สามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ใน 3 ประเทศ และก็รักษาความเร็วได้ดี แต่คุณจะต้องอัปเกรดไปใช้แพลนแบบจ่ายเงินหากต้องการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์สำหรับสตรีมมิ่งและโหลดบิท
- 4. Hotspot Shield — VPN Mac ที่ใช้งานง่าย (เหมาะสำหรับผู้ใช้งานมือใหม่) มันเปิดให้ใช้งานข้อมูลได้ไม่จำกัด และก็สามารถรักษาระดับความเร็วได้ดี แต่มันจะบันทึกที่อยู่ IP ของคุณเอาไว้ และแอป macOS ก็จะขาด kill switch ด้วย
- 5. hide.me — VPN คุณภาพดีเหมาะสำหรับใช้โหลดบิท มีการจำกัดข้อมูลไว้ที่ 10 GB ต่อเดือน มีความเร็วดี และก็ใช้งานง่าย น่าเสียดายที่แพลนระดับฟรีนั้นไม่รองรับการสตรีมมิ่ง
- การเปรียบเทียบระหว่าง VPN Mac ฟรี ที่ดีที่สุด
หมายเหตุจากบรรณาธิการ: Intego, Private Internet Access, CyberGhost และ ExpressVPN มีเจ้าของบรอการคือ Kape Technologies ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับบริการของเรา
🥇1. ExpressVPN — VPN Mac ที่ดีที่สุดแห่งปี 2024
ExpressVPN นั้นคือ VPN สำหรับ macOS ที่ดีที่สุด และมันก็มีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน — ดังนั้นคุณจึงสามารถทดลองใช้งานมันได้อย่างไม่มีความเสี่ยง และคุณก็สามารถขอคืนเงินได้ถ้าคุณใช้แล้วรู้สึกไม่พอใจ แต่เราคิดว่าเรื่องแบบนั้นคงไม่น่าจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว เนื่องจากนี่เป็น VPN ที่ดีที่สุดสำหรับใช้สตรีมมิ่ง (มันสามารถใช้งานได้กับแอปสตรีมมิ่งถึง 100+ แอป ซึ่งก็รวมถึง Netflix, Disney+ และแพลตฟอร์มในประเทศอย่าง ONE 31 และ Channel 7 ด้วย) ใช้โหลดบิทหรือเล่นเกมก็มีความเร็วดีที่สุดด้วยเช่นกัน โดยมันมีเซิร์ฟเวอร์อยู่ทั่วทุกแห่งในโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
เรารู้สึกประทับใจมาก ๆ ที่ ExpressVPN ให้ความใส่ใจด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวสูง มันใช้เทคโนโลยี TrustedServer ซึ่งหมายความว่าข้อมูลของผู้ใช้งานจะถูกลบทุกครั้งที่เซิร์ฟเวอร์ของ ExpressVPN ถูกรีสตาร์ท และมันก็ยังมี perfect forward secrecy ซึ่งจะเป็นการป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้ามาแทรกแซงเซสชั่น VPN ในอดีตและในอนาคตของคุณได้ ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายการไม่บันทึกข้อมูลของมันนั้นยังได้รับการตรวจสอบอย่างอิสระมาแล้วหลายครั้ง และมันก็ยังผ่านการพิสูจน์ตอนที่เซิร์ฟเวอร์ถูกยึดมาแล้วด้วย
นี่ยังเป็นหนึ่งใน VPN น้อยรายที่มี split-tunneling สำหรับ macOS อีกด้วย Split-tunneling นั้นจะทำให้คุณสามารถเลือกได้ว่าทราฟฟิคไหนบ้างที่ต้องการให้ใช้งานผ่าน VPN และแอปไหนที่ต้องการให้ใช้เครือข่ายปกติ คุณสามารถใช้งานฟีเจอร์นี้เพื่อให้ได้ความเร็วที่สูงขึ้นในขณะเล่นเกมหรือสตรีมมิ่งได้ ฟีเจอร์นี้นั้นเปิดให้ใช้งานได้สำหรับ macOS 10.15 หรือเก่ากว่า โดยที่ ExpressVPN กำลังอยู่ระหว่างพัฒนาเพื่อให้รองรับ macOS 11
ExpressVPN นั้นมีความเร็วที่สูงที่สุดสำหรับ Mac VPN ที่เราได้ทำการทดสอบมา ในการทดสอบความเร็วของเรานั้น เราพบว่าความเร็วในการอัปโหลดและดาวน์โหลดที่เราได้รับนั้นใกล้เคียงกับความเร็วตอนที่ไม่ใช้ VPN มาก ๆ ถึงแม้จะอยู่ระหว่างโหลดบิทด้วย uTorrent ก็ตาม นอกจากนี้เรายังไม่สังเกตเห็นถึงอาการแลคเลยตอนที่เราเล่นเกมหรือสตรีมมิ่ง Netflix ในความชัดระดับ HD บน Safari
นอกจากนี้ เราชอบมาก ๆ ที่แอป macOS ของผู้ให้บริการนั้นมีความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน มันมีฟีเจอร์เชื่อมต่ออย่างรวดเร็วที่จะทำการเชื่อมต่อคุณไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุดโดยอัตโนมัติ และอินเทอร์เฟซก็สามารถแสดงค่าเป็นภาษาไทยได้ด้วยซึ่งก็ทำให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้นไปอีก นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ ทางลัด ซึ่งจะทำให้คุณสามารถสร้างปุ่มทางลัดแบบคลิกเดียวสำหรับแอปหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ให้เปิดขึ้นมาบนหน้าจอหลังจากที่คุณเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ — นี่จะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่คุณต้องการได้ในทันทีหลังจากที่คุณทำการเชื่อมต่อแล้ว
ExpressVPN นั้นยังสามารถรองรับชิป M1 และ M2 ล่าสุดของ Apple ได้ด้วย นี่หมายความว่าแอป VPN นั้นจะสามารถใช้งานเข้ากับ Mac รุ่นล่าสุดได้อย่างไม่มีปัญหา ผู้ใช้งาน Mac จะสามารถใช้งาน ExpressVPN ได้อย่างมีความเร็วสูง ความเสถียรชั้นหนึ่ง และจะช่วยประหยัดแบตได้เป็นอย่างดี
ExpressVPN มีแพลนให้เลือกใช้งานมากมายและถ้าคุณใช้การลดราคา 61% ของเราแล้ว คุณก็จะสามารถใช้บริการได้ในราคาเพียง US$4.99 / เดือนซึ่งก็ไม่แพงเลย — นอกจากนี้เรายังเห็น ExpressVPN มักจะแถมเดือนให้ใช้งานฟรีถึง 3 เดือนโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกด้วย!
สรุป:
ExpressVPN นั้นเป็น VPN Mac ที่ดีที่สุดในปี 2024 — ถึงแม้ว่ามันจะไม่ฟรี 100% แต่มันมีแพลนในราคาไม่แพงซึ่งมาพร้อมกับการรับประกันคืนเงินอย่างไม่มีความเสี่ยงภายใน 30 วัน ทำให้คุณมีเวลามากมายในการทดลองใช้งานฟีเจอร์ทั้งหมดของมัน แถมมันยังมีความปลอดภัยดี ความเร็วที่สูงที่สุดที่เราเห็นมาใน VPN Mac และก็สามารถสตรีมมิ่ง โหลดบิท และเล่นเกมได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ ExpressVPN ของพวกเราได้ที่นี่
🥈2. CyberGhost VPN — ใช้งานสตรีมมิ่งได้ดีมาก เหมาะสำหรับมือใหม่
CyberGhost VPN นั้นไม่ได้ฟรีจริง ๆ แต่ว่ามันมีให้ทดลองใช้ฟรีได้ 24 ชั่วโมง การทดลองใช้ฟรีนี้จะเปิดให้คุณสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ได้ทั้งหมด โดยที่คุณไม่ต้องกรอกข้อมูลบัตรเครดิตใด ๆ เลย CyberGhost นั้นยังมีการรับประกันคืนเงินภายใน 45 วันสำหรับแพลนระยะยาวทั้งหมดด้วย ทำให้คุณมีเวลาเกินพอที่จะทดลองใช้งาน VPN รายนี้เพื่อให้แน่ใจว่ามันตรงกับความต้องการทั้งหมดของคุณ
ผู้ให้บริการรายนี้นั้นสามารถรองรับการสตรีมมิ่งได้เป็นอย่างดี เนื่องจากพวกเขามีเซิร์ฟเวอร์สำหรับสตรีมมิ่งถึง 100+ เซิร์ฟเวอร์ ทำให้คุณสามารถรีเฟรช IP เพื่อหลีกเลี่ยงการบล็อกได้อย่างง่ายดาย แถม CyberGhost นั้นยังสามารถใช้งานได้กับเว็บไซต์สตรีมมิ่งถึง 50+ เว็บไซต์ อาทิเช่น Netflix, Amazon Prime Video, Hulu, Max และอีกมากมาย จากการทดสอบของเรา CyberGhost นั้นสามารถทำงานได้ตามความคาดหวัง มันสามารถเข้าถึงเว็บไซต์สตรีมมิ่งยอดนิยมและเว็บที่คนไม่ค่อยรู้จักได้อย่างมีความเสถียร
แอป VPN สำหรับ macOS นั้นมีความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานอย่างสูง การติดตั้งและกำหนดค่า CyberGhost นั้นใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที และฟีเจอร์ความปลอดภัยทั้งหมดก็จะถูกเปิดใช้งานเป็นค่าตั้งต้น ซึ่งก็ทำให้สะดวกมาก ๆ และถ้าคุณต้องการเปลี่ยนการตั้งค่าเริ่มต้น การตั้งค่าแต่ละตัวก็จะมีคำอธิบายสั้น ๆ ให้อ่านด้วย ซึ่งเราเห็นว่ามีประโยชน์มาก แถมมันยังใช้งานกับชิป M1/M2 ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
CyberGhost VPN นั้นถือว่าเร็วมากในการทดสอบของเรา แต่ก็ยังช้ากว่า ExpressVPN เราสามารถท่องเว็บได้อย่างไม่เกิดการดีเลย์เลย วิดีโอความชัดระดับ HD และ 4K นั้นโหลดในทันที และเราก็เจออาการบัฟเฟอร์แค่เล็กน้อยเท่านั้นตอนก่อนเริ่มเล่นวิดีโอความชัดระดับ 4K
ผู้ให้บริการนั้นยังมีฟีเจอร์ความปลอดภัยดี ๆ อย่างเซิร์ฟเวอร์แบบ RAM-only (ซึ่งมีอยู่ในประเทศไทยด้วย) รวมถึงการป้องกันการรั่วไหลที่แน่นหนา และ perfect forward secrecy และมันก็ยังมาพร้อมกับ Content Blocker ซึ่งจะช่วยปกป้องคุณจากเว็บไซต์อันตราย น่าเสียดายที่มันไม่มี split-tunneling สำหรับ macOS
เราชอบฟีเจอร์ Smart Rules (กฎอัจฉริยะ) ของ CyberGhost VPN มาก ๆ มันทำให้เราสามารถปรับแต่งการเชื่อมต่อ VPN อย่างเช่นการตั้งค่าให้มันเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ใดเซิร์ฟเวอร์หนึ่งโดยอัตโนมัติ และเปิดแอปตอนที่ VPN เปิดทำงาน
CyberGhost VPN มีแพลนในราคาไม่แพง เริ่มต้นที่ US$2.19 / เดือน
สรุป:
CyberGhost VPN นั้นใช้งานสำหรับสตรีมมิ่งได้เป็นอย่างดี เราชอบมาก ๆ ที่แอปสำหรับ Mac ของมันใช้งานง่าย มันมีความเร็วสูงและฟีเจอร์ความปลอดภัยดี ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีแพลนระดับฟรีก็ตาม เราชอบที่มันมีทดลองให้ใช้งานฟรี 24 ชั่วโมง มีราคาไม่แพง และก็มีการรับประกันคืนเงินถึง 45 วัน สำหรับแพลนระยะยาวทั้งหมด
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ CyberGhost VPN ของพวกเรา
หมายเหตุจากบรรณาธิการ: CyberGhost และเว็บไซต์นี้อยู่ในกลุ่มบริษัทที่มีเจ้าของเดียวกัน
🥉3. Proton VPN — ความเร็วดีสำหรับ macOS และใช้งานข้อมูลได้ไม่จำกัด
Proton VPN นั้นเป็นหนึ่งใน VPN หายากที่ไม่มีการจำกัดข้อมูลการใช้งานสำหรับผู้ใช้งานฟรี — แบรนด์อื่น ๆ ส่วนใหญ่นั้นจะมีข้อมูลให้ใช้งานได้จำกัดในแต่ละเดือน และมันก็จะตัดการเชื่อมต่อหลังจากที่คุณใช้ข้อมูลถึงที่จำกัดไว้แล้ว แต่สำหรับ Proton VPN นั้น คุณอยากจะใช้ท่องเว็บเท่าไรก็ได้
ในการทดสอบความเร็วตอนที่ท่องเว็บผ่าน Safari ก็ได้ความเร็วดีอยู่ ฟีเจอร์เพิ่มความเร็วของ Proton VPN ที่ชื่อว่า VPN Accelerator สามารถเพิ่มความเร็วการเชื่อมต่อของเราได้อย่างมีนัยสำคัญ เราไม่เจออาการบัฟเฟอร์ตอนที่ดูเนื้อหาความชัดระดับ HD ผ่าน YouTube เลยสักนิด และเว็บไซต์ทั้งหมดก็โหลดเสร็จภายในทันที ถึงอย่างนั้นก็ตาม มันจะดีกว่านี้ถ้า VPN Accelerator เปิดทำงานเองได้อัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องให้เราไปกดเปิด
แพลนระดับฟรีของ Proton VPN นั้นเปิดให้คุณเข้าใช้งานเซิร์ฟเวอร์ได้ในสามประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วยสามเมืองของสหรัฐอเมริกา (นิวยอร์ก ไมอามี่ และลอสแอนเจลิส), ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์ เราชอบที่เซิร์ฟเวอร์ฟรีทั้งหมดของมันนั้นจะแสดงเปอร์เซ็นต์โหลด ซึ่งจะทำให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ที่แออัด แล้วหันไปเลือกใช้งานเซิร์ฟเวอร์ที่จะมีความเร็วสูงที่สุดสำหรับคุณได้ แต่พูดกันตามตรง ความเร็วของ ExpressVPN และ CyberGhost VPN ก็ยังเร็วกว่าอยู่ดีึ
คุณยังจะสามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ฟรีเฉพาะสำหรับด็อยท์เชอเว็ลเลอ (DW) ทั้งเว็บไซต์ วิดีโอ และไลฟ์สตรีม ได้อีกด้วย มันเป็นช่องทางที่คุณจะสามารถเข้าไปดูข่าวรอบโลกได้ ถึงแม้ว่าคุณจะอยู่ในประเทศที่มีการเซ็นเซอร์ข่าวสารจาก DW อย่างเข้มงวดก็ตาม แพลนระดับฟรีนั้นจะเปิดให้คุณใช้งานเซิร์ฟเวอร์ DW ได้ 1 เซิร์ฟเวอร์ในแต่ละประเทศที่เปิดให้เข้าถึง ในการที่จะเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ในแอปของ Proton VPN เพียงแค่พิมพ์คำว่า “news” ลงไปในช่องค้นหา และแอปก็จะทำการไฮไลท์เซิร์ฟเวอร์ในรายการเซิร์ฟเวอร์ให้
แพลนระดับฟรีของ Proton VPN นั้นมีความเป็นส่วนตัวดีเยี่ยม เนื่องจากแอป macOS ของมันเป็นแบบโอเพนซอร์ซ ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถเปิดดูซอร์สโค้ดได้ว่ามีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหรือไม่ — ยิ่งไปกว่านั้นแอปได้ผ่านการตรวจสอบและยืนยันมาแล้วว่ามันมีความปลอดภัย แถมผู้ให้บริการก็ยังมีนโยบายการไม่บันทึกข้อมูล ซึ่งผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างอิสระแล้วเช่นกัน
แพลนระดับฟรีนั้นยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยที่แข็งแกร่งด้วย ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ขั้นสูงอย่างการป้องกันการรั่วไหลเต็มรูปแบบ, perfect forward secrecy และการเข้ารหัสดิสก์อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยทำให้คุณมั่นใจได้ว่าข้อมูลของคุณจะปลอดภัยถึงแม้ว่าจะเกิดช่องโหว่กับเซิร์ฟเวอร์ก็ตาม
นอกจากนี้เรายังชอบความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานของแอป macOS ของผู้ให้บริการอีกด้วย — ฟีเจอร์และการตั้งค่าทั้งหมดของมันนั้นมาพร้อมกับคำอธิบายที่มีประโยชน์ มันสามารถใช้งานกับชิป Silicon M1 และ M2 ของ Apple ได้ และมันก็ยังมีฟีเจอร์โปรไฟล์ ซึ่งจะทำให้คุณสามารถตั้งค่าการเชื่อมต่อตามความต้องการได้ (อย่างเช่นการเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่คุณเลือกโดยอัตโนมัติ) เช่นเดียวกันกับ VPN ส่วนใหญ่ตรงที่ แอปสำหรับ macOS ของ Proton VPN นั้นไม่มี split-tunneling
น่าเสียดายที่แพลนระดับฟรีนั้นไม่รองรับการสตรีมมิ่งและการโหลดบิท — หากคุณต้องการจะดู Netflix หรือรายการสตรีมมิ่งอื่น ๆ รวมถึงต้องการดาวน์โหลดไฟล์ P2P คุณก็จะต้องอัปเกรดไปใช้งานแพลนแบบจ่ายเงินของ Proton VPN นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้งาน Proton VPN ฟรีได้แค่ 1 อุปกรณ์เท่านั้น
Proton VPN มีแพลนแบบรายเดือนและรายปี ราคาเริ่มต้นที่ US$3.59 / เดือน มันจะมีเพิ่มการรองรับการสตรีมมิ่งและ P2P และก็จะทำให้คุณสามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้มากยิ่งขึ้น (ซึ่งมีประเทศไทยให้เลือกด้วย) นอกจากนี้ยังมีตัวบล็อกโฆษณา, Tor over VPN และก็จะเพิ่มจำนวนการเชื่อมต่อขึ้นถึง 10 การเชื่อมต่อ แพลนระดับพรีเมียมของ Proton VPN นั้นมีการรับประกันคืนเงินตามสัดส่วนภายใน 30 วัน
สรุป:
แพลนระดับฟรีของ Proton VPN นั้นมีข้อมูลให้ใช้งานได้ไม่จำกัด มีความเร็วดีเหมาะสำหรับทั้งการท่องเว็บและการสตรีมมิ่ง นอกจากนี้มันยังมีฟีเจอร์ความปลอดภัยมากมายสำหรับ Mac อีกด้วย เราชอบมากที่แอป macOS ของมันนั้นเป็นแบบโอเพนซอร์ซ ซึ่งก็ทำให้ผู้ให้บริการ VPN รายนี้เป็นที่น่าไว้วางใจขึ้น อย่างไรก็ตาม แพลนระดับฟรีของ Proton VPN นั้นไม่รองรับการสตรีมมิ่งและการโหลดบิท หากคุณต้องการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์สำหรับสตรีมมิ่งหรือโหลดบิท รวมถึงฟีเจอร์เสริมอีกมากมาย พร้อมกับการเชื่อมต่อถึง 10 การเชื่อมต่อ คุณจะต้องอัปเกรดไปใช้งานแพลนแบบจ่ายเงินของ Proton VPN
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ Proton VPN ของพวกเรา
4. Hotspot Shield — VPN Mac ที่ใช้งานง่าย มีความเร็วดี และใช้ข้อมูลได้ไม่จำกัด
Hotspot Shield นั้นใช้งานง่ายมาก ๆ — อินเทอร์เฟซแอปของ Mac นั้นดูสะอาดและออกแบบมาเป็นอย่างดี ดังนั้นถึงแม้ว่าคุณจะไม่เคยใช้ VPN มาก่อน นั่นก็ไม่เป็นปัญหาเลย นี่จึงทำให้มันเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานมือใหม่ นอกจากนี้มันยังเหมือน Proton VPN ตรงที่มันเปิดให้ใช้งานข้อมูลได้ไม่จำกัดอีกด้วย
Hotspot Shield นั้นมีความเร็วที่ดีมากสำหรับแพลนระดับฟรี — ตอนที่เราลองเข้าเว็บไซต์ผ่านทาง Safari เว็บไซต์นั้นก็โหลดเสร็จในทันที และวิดีโอความชัดระดับ HD บน YouTube ก็โหลดเสร็จภายใน 2 วินาทีเท่านั้น และมันก็ไม่มีการบัฟเฟอร์เลยตอนที่เราเลื่อนดูแบบข้าม ๆ ถึงแม้จะเลือกใช้เซิร์ฟเวอร์ระยะไกล ความเร็วก็ยังดีไม่แพ้กัน ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ตอนที่เราใช้แพลนระดับฟรีของ Proton VPN มันก็มีความเร็วที่ดีกว่า และถ้าใช้ ExpressVPN ก็เร็วยิ่งขึ้นไปอีก
ในแง่ของความปลอดภัย แพลนระดับฟรีนี้จะมาพร้อมกับ Hydra ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่พัฒนาขึ้นเองของผู้ให้บริการ และมันสามารถทำ perfect forward secrecy ได้ นอกจากนี้ แพลนระดับฟรีของมันยังมีการป้องกันการรั่วไหล DNS สำหรับแอป macOS ด้วย น่าเสียดายที่แพลนระดับฟรีของ Hotspot Shield จะบันทึกที่อยู่ IP ของคุณ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีสำหรับความเป็นส่วนตัวของคุณ แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ชอบมากที่มันมีฟีเจอร์ Notify on public WiFi (แจ้งเตือน WiFi สาธารณะ) ซึ่งมันจะแจ้งเตือนคุณทุกครั้งที่ Mac ของคุณเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย
แต่มันก็มีข้อจำกัดที่เห็นได้ชัดอยู่ — ตัวแทนของทาง Hotspot Shield ไม่สามารถยืนยันได้ว่า VPN นี้สามารถรองรับชิป Silicon ของ Apple สำหรับ Mac ได้หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น คุณจะสามารถเลือกใช้เซิร์ฟเวอร์ได้แค่ใน 3 ประเทศ (สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสิงคโปร์) และคุณก็จะสามารถเชื่อมต่อได้แค่ 1 อุปกรณ์ โดยความเร็วจะถูกจำกัดไว้ที่ 2 Mbps และมันจะไม่รองรับการสตรีมมิ่งและการโหลดบิท
ข่าวดีก็คือ Hotspot Shield นั้นมีฟีเจอร์ split-tunneling ให้ใช้งานบน Mac ได้ มันจะทำให้คุณเลือกได้ว่าแอปไหนที่ต้องการให้ผ่านอุโมงค์ VPN และเว็บไซต์ไหน (แอปเลือกไม่ได้) ที่ไม่ต้องการให้ใช้งานผ่าน VPN ฟีเจอร์นี้จะใช้งานได้กับโปรโตคอล Hydra เท่านั้น ซึ่งเราก็แนะนำให้เลือกใช้อยู่แล้ว
Hotspot Shield นั้นมีการสมัครสมาชิกแบบรายเดือนและรายปี ราคาเริ่มต้นที่ US$6.66 / เดือน แพลนระดับพรีเมียมทั้งหมดนั้นจะนำการบันทึก IP ออก และจะเปิดให้คุณเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดได้ (ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย) นอกจากนี้ยังรองรับการสตรีมมิ่ง เชื่อมต่อได้พร้อมกันถึง 10 การเชื่อมต่อ และก็มีการรับประกันคืนเงินถึง 45 วันอีกด้วย
สรุป:
Hotspot Shield นั้นเป็นตัวเลือกฟรีที่ดีสำหรับมือใหม่ นอกจากจะมีอินเทอร์เฟซ macOS ที่เข้าใจง่ายแล้ว มันยังมีข้อมูลให้ใช้งานได้ไม่จำกัด มีความเร็วที่ดี และก็มีฟีเจอร์ split-tunneling ที่พอใช้งานได้อีกด้วย — อย่างไรก็ตาม มันจำกัดการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ไว้เพียง 3 ประเทศ และมันก็จะบันทึกที่อยู่ IP ของคุณ หากคุณต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ต้องการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด และอื่น ๆ อีกมากมาย คุณจะต้องอัปเกรดไปใช้แพลนระดับพรีเมียม
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ Hotspot Shield
5. hide.me — ใช้โหลดบิทได้ดี
hide.me เปิดให้โหลดบิทในแพลนระดับฟรีได้ และมันก็มีการจำกัดข้อมูลไว้ที่ 10 GB ต่อเดือน ซึ่งก็เพียงพอสำหรับใช้ดาวน์โหลดไฟล์ขนาดเล็ก คุณยังสามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ใน 5+ ประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วยสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์ รวมถึงสามารถใช้ split-tunneling ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่อัปเกรดไปใช้แพลนระดับพรีเมียม คุณจะสามารถใช้งาน hide.me ได้แค่ 1 อุปกรณ์เท่านั้น
จากการทดสอบความเร็วของเรานั้น ตอนที่เราลองใช้ uTorrent โหลดบิท เราก็เห็นว่ามันมีความเร็วสูงดี — นอกจากนี้เรายังสามารถใช้มันท่องเว็บได้อย่างรวดเร็ว เว็บไซต์ต่าง ๆ นั้นโหลดเสร็จในทันที และวิดีโอความชัดระดับ HD ของ YouTube ก็โหลดเสร็จภายใน 2–3 วินาที และก็ไม่มีการบัฟเฟอร์เลย
แต่เราค่อนข้างรู้สึกผิดหวังที่แพลนระดับฟรีของ hide.me นั้นไม่เปิดให้คุณใช้งานโปรโตคอล WireGuard ซึ่งเป็นโปรโตคอล VPN ที่เร็วที่สุดและปลอดภัยที่สุด ถ้าให้เปรียบเทียบกันกับตัวอื่น ทั้ง Proton VPN และ Hotspot Shield ต่างก็สามารถเข้าถึง WireGuard ได้ในแพลนระดับฟรี ส่วน ExpressVPN นั้นจะใช้ Lightway ซึ่งจะเร็วยิ่งขึ้นไปอีก
แพลนระดับฟรีของผู้ให้บริการนั้นยังมีฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ดีมากอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการรั่วไหลเต็มรูปแบบ เซิร์ฟเวอร์แบบ RAM-only และ perfect forward secrecy และนอกจาก kill switch ระดับมาตรฐานแล้ว มันยังมี Stealth Guard ซึ่งจะทำให้คุณสามารถเลือกได้ด้วยว่าต้องการปิดแอปไหน (อย่างเช่นโปรแกรมโหลดบิท) ถ้าหากว่าการเชื่อมต่อ VPN ขาดไปกะทันหัน
คุณยังจะสามารถใช้งานแอปที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานสำหรับ macOS ได้ด้วย ซึ่งอินเทอร์เฟซของมันก็ใช้งานง่ายมาก ๆ และมันก็สามารถใช้งานได้กับ Mac ที่ใช้ชิป M1/M2 — แต่เราก็ไม่ค่อยชอบสักเท่าไรตรงที่มันไม่สามารถใช้งานกับ macOS 11 ได้ ดังนั้นคุณจะต้องตั้งค่าเองถึงจะใช้งาน VPN ได้บนระบบปฏิบัติการเวอร์ชันนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่สะดวกนัก
hide.me นั้นมีแพลนระดับพรีเมียมในราคาไม่แพง เริ่มต้นที่ US$2.39 / เดือน แพลนแบบจ่ายเงินนั้นเปิดให้คุณเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ทั้งหมด สามารถรองรับการสตรีมมิ่ง และใช้งานพร้อมกันได้ 10 อุปกรณ์ แพลนทั้งหมดนั้นมีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
สรุป:
Hide.me นั้นรองรับการโหลดบิทได้ดี มันมีข้อมูลจำกัดอยู่ที่ 10 GB/เดือน เปิดให้เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ใน 5+ ประเทศ มีความเร็วดี และมันก็ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยที่แข็งแกร่งอีกด้วย อย่างไรก็ตาม มันไม่รองรับการสตรีมมิ่ง และก็ไม่เปิดให้คุณใช้งาน WireGuard ได้ในแพลนระดับฟรี นอกจากนี้ยังจำกัดให้คุณใช้ได้แค่ 1 อุปกรณ์เท่านั้น ถ้าคุณอัปเกรดไปใช้แพลนระดับพรีเมียมของ hide.me คุณจะใช้งานข้อมูลได้ไม่จำกัด และคุณก็จะเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดรวมถึงบริการสตรีมมิ่งได้ แถมยังใช้งานการเชื่อมต่อได้ถึง 10 การเชื่อมต่ออีกด้วย
อ่านรีวิวฉบับเต็มเกี่ยวกับ Hide.me ของพวกเรา
การเปรียบเทียบระหว่าง VPN Mac ฟรี ที่ดีที่สุดสำหรับในปี 2024
หมายเหตุจากบรรณาธิการ: Intego, Private Internet Access, CyberGhost และ ExpressVPN มีเจ้าของบรอการคือ Kape Technologies ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับบริการของเรา
วิธีการเลือก VPN Mac ฟรี ที่ดีที่สุดปี 2024
- เลือก VPN ฟรี ที่มีแพลนระดับฟรีคุณภาพดู แพลนระดับฟรีของ VPN นั้นมักจะมีข้อจำกัดหลายอย่าง เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงประสบการณ์การใช้งานที่ไม่สะดวก คุณควรจะเลือกใช้แพละระดับฟรีของ VPN ที่ไม่มีโฆษณา มีตัวเลือกเซิร์ฟเวอร์มากพอ รองรับการสตรีมมิ่งหรือการโหลดบิท หรือมีข้อมูลให้ใช้งานได้มากพอ ถ้ามีให้ใช้ไม่จำกัดเลยยิ่งดี (แพลนระดับฟรีของ Proton VPN มีข้อมูลให้ใช้งานได้ไม่จำกัด)
- เลือกผู้ให้บริการที่มีแอป macOS ผู้ให้บริการนั้นควรจะมีแอปเฉพาะสำหรับ macOS ซึ่งใช้งานกับ macOS เวอร์ชันล่าสุดได้ — VPN ฟรีสำหรับ macOS ส่วนใหญ่ในรายการของเรา สามารถใช้งานร่วมกับ macOS 11 ได้ นอกจากนี้ VPN ส่วนใหญ่ที่เราแนะนำนั้นจะรองรับชิป M1/M2 ของ Apple ด้วย
- วิธีการเลือก VPN ที่มีความปลอดภัยดี เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลของคุณนั้นจะได้รับการป้องกันอยู่ตลอดเวลา คุณควรจะเลือก VPN ฟรี ที่มีการเข้ารหัส AES 256-bit มีนโยบายการไม่บันทึกข้อมูลเพื่อป้องกันไม่ให้ VPN บันทึกข้อมูลของคุณ มี kill switch เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลถ้าหากว่า VPN เกิดขาดการเชื่อมต่อ หรือป้องกันการรั่วไหลจาก IPv6, DNS หรือ WebRTC
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่า VPN มีความเร็วดี ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี ปกติแล้ว VPN นั้นจะทำให้ความเร็วอินเทอร์เน็ตของคุณลดลงซึ่งก็เป็นเพราะกระบวนการเข้ารหัส VPN ที่เปิดให้ใช้ฟรีนั้นจะช้ากว่า VPN พรีเมียม เพราะว่าพวกเขาจะเปิดให้เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ในจำนวนที่น้อยกว่า ซึ่งก็ทำให้คนต้องแย่งกันใช้งาน อย่างไรก็ตาม VPN Mac ฟรีทั้งหมดในรายการนี้นั้นสามารถรักษาระดับความเร็วได้ดี สำหรับใช้ทำกิจกรรมทางออนไลน์ส่วนใหญ่
- เลือก VPN ที่ใช้งานง่าย แอป macOS ของผู้ให้บริการนั้นจะต้องดาวน์โหลดและติดตั้งง่าย — กระบวนการทั้งหมดนั้นควรจะใช้เวลาเพียง 1–2 นาที และคุณไม่ควรจะต้องมาติดตั้งเองด้วยวิธีที่ไม่สะดวก ยิ่งไปกว่านั้น แอป macOS นั้นต้องเข้าใจง่ายและมันต้องใช้งานง่ายด้วย
- มองหาแพลนแบบจ่ายเงินที่มีความคุ้มค่าดี VPN ฟรีนั้นควรจะต้องมีแพลนแบบจ่ายเงินที่มีราคาไม่แพงซึ่งมีการรับประกันคืนเงินให้คุณเลือกใช้งาน เวอร์ชันแบบจ่ายเงินนั้นควรจะมีบริการอย่างคุ้มค่า เช่นมันควรจะรองรับการสตรีมมิ่งและ P2P ควรจะมีฟีเจอร์ความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น (อย่างเช่นตัวบล็อกโฆษณา) มีตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ให้เลือกมากขึ้น มีข้อมูลไม่จำกัด และอีกมากมาย
ความเสี่ยงและข้อเสียของการใช้ VPN Mac ฟรีของคุณ
- ความปลอดภัยที่ต่ำ — MacOS นั้นมีความปลอดภัยที่บิ้วท์อินมาดีเยี่ยม แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดีถ้าคุณเลือกใช้ VPN ฟรี ข้อมูลของคุณอาจเกิดการรั่วไหล และมันก็อาจจะแย่กว่าการที่ไม่ใช้ VPN เลยตั้งแต่แรก คุณไม่มีทางรู้ได้ว่าข้อมูลของคุณถูกส่งไปไหน เว้นแต่ว่าคุณจะเลือกใช้ VPN ที่ได้รับความไว้วางใจซึ่งมีโปรโตคอลความปลอดภัยและฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวที่ดี
- ข้อมูลของคุณถูกนำไปขาย — VPN บางรายนั้นจะติดตามกิจกรรมของคุณ (เช่นนิสัยในการซื้อสินค้าของคุณ รวมถึงเว็บไซต์ที่คุณเข้าไปดู) จากนั้นก็จะนำมันไปขายให้กับบุคคลที่สาม การเลือกใช้ VPN พรีเมียม ที่มีนโยบายการไม่บันทึกข้อมูลที่เข้มงวดและนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจนนั้นจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลของคุณจะไม่ถูกนำไปขาย
- ความเร็วที่ต่ำ — VPN ฟรีหลายแบรนด์นั้นมีเซิร์ฟเวอร์ให้เลือกใช้งานน้อย ซึ่งก็หมายความว่าผู้ใช้งานจะแย่งกันใช้จนทำให้ความเร็วตกลง VPN Mac พรีเมียม จะมีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ที่ใหญ่กว่ามาก ซึ่งก็หมายความว่าจะมีผู้ใช้งานเชื่อมต่อในเซิร์ฟเวอร์เดียวกันพร้อม ๆ กันน้อยกว่า
- ที่อยู่ IP ถูกขึ้นบัญชีดำ — เซิร์ฟเวอร์ของ VPN ฟรีนั้นมักจะใช้ที่อยู่ IP ซ้ำ ซึ่งหลาย ๆ เว็บไซต์นั้นต่างก็ได้บล็อกหรือขึ้นบัญชีดำไปเป็นที่เรียบร้อย นี่หมายความว่าคุณจะถูกการตรวจสอบความปลอดภัยรวมถึง CAPTCHA รบกวนอย่างไม่รู้จบ
- ไม่สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งได้ — VPN ฟรีนั้นมักจะมีปัญหาในการเข้าถึงเว็บไซต์สตรีมมิ่งอย่าง Netflix ในขณะที่ VPN พรีเมียมอย่าง ExpressVPN นั้นถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งได้อย่างปลอดภัยและมีความเสถียร
VPN พรีเมียม สำหรับ macOS อย่าง ExpressVPN จะสามารถเอาชนะข้อจำกัดเหล่านี้ได้ มันมีความเร็วสูง ใช้งานได้เสถียร และก็มีนโยบายการไม่บันทึกข้อมูล พร้อมการเข้ารหัสที่แน่นหนา เพื่อช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณ
VPN Mac ฟรี ที่ควรหลีกเลี่ยง
- Hola VPN เวอร์ชันฟรีของ Hola VPN นั้นจะนำที่อยู่ IP ของผู้ใช้งานคนอื่นมาจัดสรรให้คุณ และมันก็จะนำที่อยู่ IP ของคุณไปจัดสรรให้คนอื่น นี่อาจจะทำให้มีผู้ประสงค์ร้ายนำมันไปใช้ทำเรื่องผิดกฎหมายได้ นอกจากนี้ Hola นั้นยังบันทึกข้อมูลของผู้ใช้งาน ไม่เข้ารหัสทราฟฟิค และก็เคยทำข้อมูลที่อยู่ IP ของผู้ใช้งานรั่วไหลมาแล้วด้วย
- SuperVPN SuperVPN นั้นบันทึกข้อมูลเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ IP ระบบปฏิบัติการ และเบราว์เซอร์ที่คุณใช้ นอกจากนี้มันยังขาดฟีเจอร์ความปลอดภัยสำคัญ และมันก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรั่วไหลของข้อมูลที่ทำให้รายละเอียดของผู้ใช้งานอย่างเช่นที่อยู่ IP อีเมล และตำแหน่งที่อยู่รั่วไหลมาแล้ว
- AceVPN AceVPN นั้นไม่มี kill switch และก็มีเซิร์ฟเวอร์อยู่แค่ 20 แห่ง นอกจากนี้ยังมีเซิร์ฟเวอร์สำหรับ P2P แค่เซิร์ฟเวอร์เดียว ข้อเสียใหญ่สุดของมันก็คือมันไม่มีแอปสำหรับแพลตฟอร์มโดยเฉพาะ ทำให้คุณต้องมานั่งตั้งค่าอะไรต่าง ๆ เองซึ่งก็ไม่สะดวกเอาเสียเลย
- TouchVPN TouchVPN เก็บข้อมูลที่อยู่ IP และประวัติการท่องเว็บของผู้ใช้งาน การบันทึกข้อมูลนี้ทำให้ความเป็นส่วนตัวที่ควรได้จาก VPN นั้นลดลง
- Hoxx VPN HoxxVPN จะบันทึกกิจกรรมเว็บไซต์ รายละเอียดอุปกรณ์ และตำแหน่งของคุณ ข้อกำหนดของมันยังระบุเอาไว้ด้วยว่ามันจะเก็บข้อมูลของคุณเอาไว้ ถึงแม้ว่าคุณจะปิดบัญชีแล้ว ทำให้ความเป็นส่วนตัวระยะยาวของคุณนั้นมีความเสี่ยง
- TurboVPN นโยบายการไม่บันทึกข้อมูลของ TurboVPN นั้นดูคลุมเครือมาก มันบอกว่า VPN นั้นไม่ได้ติดตามกิจกรรมออนไลน์ แต่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการบันทึกที่อยู่ IP ซึ่งก็เป็นช่องโหว่ด้านความเป็นส่วนตัวเช่นกัน
- Tuxler TuxlerVPN จะบันทึกกิจกรรมบนเว็บไซต์ รายละเอียดเบราว์เซอร์ และข้อมูลติดต่อ ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายของมันยังระบุด้วยว่ามันจะนำข้อมูลนี้ไปแบ่งปันให้กับบุคคลที่สามโดยมีวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ
- VPNBook VPNBook นั้นต้องกำหนดค่าเอง ซึ่งก็ไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานสักเท่าไร และมันก็ยังเก็บข้อมูลการเชื่อมต่อและที่อยู่ IP ของคุณด้วย (ถึงแม้ว่ามันจะอ้างว่ามีการลบทิ้งในทุก ๆ สัปดาห์ก็ตาม)
- Whitehat VPN Whitehat VPN นั้นจะเก็บข้อมูลที่อยู่ IP ของคุณ และก็จะอนุญาตให้บริษัทบุคคลที่สามซึ่งเป็นคู่ค้าของพวกเขาสามารถนำที่อยู่ IP ของคุณไปใช้ทำในเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจได้ อย่างเช่นการเปรียบเทียบราคา การทดสอบเว็บไซต์ หรือการวิจัยทางการตลาด
แบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ ที่ไม่ติดอันดับ
- NordVPN มีฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูง และมีการเฝ้าระวัง dark web และการป้องกันมัลแวร์ นอกจากนี้ยังมีแอป macOS ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานที่รองรับ P2P ได้เป็นอย่างดีและมีความเร็วสูง แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีแพลนระดับฟรี และแพลนแบบจ่ายเงินของมันก็แพงเกินไปนิด
- Atlas VPN มีแพลนระดับฟรีที่ใช้งานได้ดี ซึ่งเปิดให้เชื่อมต่อได้ไม่จำกัดจำนวนการเชื่อมต่อ แต่แพลนระดับฟรีนั้นจะจำกัดให้คุณใช้งานได้แค่ 5 GB ต่อเดือน และก็ใช้งานเซิร์ฟเวอร์ได้ใน 2 ประเทศเท่านั้น
- TunnelBear มีฟีเจอร์ความปลอดภัยระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม พร้อมฟีเจอร์พิเศษที่น่าสนใจ และก็มีแอปสำหรับ Mac ที่ดูน่ารักที่สุด จริง ๆ แล้วมันมีแพลนระดับฟรีให้ใช้งาน แต่ว่ามันมีข้อมูลให้ใช้ได้แค่ 2 GB/เดือน ซึ่งก็เพียงพอสำหรับใช้ทดสอบดูว่ามันเหมาะสำหรับคุณหรือไม่เท่านั้น
คำถามพบบ่อย
มี VPN ที่ฟรี 100% สำหรับ Mac หรือไม่?
มี แต่ VPN ฟรีทั้งหมดนั้นต่างก็มาพร้อมกับข้อจำกัด เช่นการจำกัดข้อมูลใช้งาน ความเร็วที่ต่ำกว่า หรือจำนวนอุปกรณ์ที่ถูกจำกัด ยกตัวอย่างเช่น Proton VPN จะเปิดให้คุณใช้งานได้ไม่จำกัด แต่มันจะมีเซิร์ฟเวอร์ให้เลือกแค่ใน 3 ประเทศเท่านั้น
ทางเดียวที่คุณจะสามารถเข้าใช้งานฟีเจอร์ทั้งหมดได้ก็คือการเลือกใช้งาน VPN แบบจ่ายเงินอย่าง ExpressVPN คุณจะได้รับการคุ้มกันที่แน่นหนาที่สุด มีข้อมูลให้ใช้งานไม่จำกัด ได้รับความเร็วสูงที่สุด และคุณก็สามารถทดลองใช้งานได้อย่างไม่มีความเสี่ยงเป็นเวลา 30 วัน เพราะมีการรับประกันคืนเงิน
ฉันจะติดตั้งใช้งาน VPN ฟรี บน Mac ได้อย่างไร?
คุณสามารถทำได้ใน 3 ขั้นตอนง่าย ๆ:
- ดาวน์โหลด VPN เราแนะนำ Proton VPN เพราะว่ามันมีแพลนระดับฟรีที่ดีที่สุดสำหรับ macOS — มันมีข้อมูลให้ใช้งานได้ไม่จำกัด มีความปลอดภัยที่แน่นหนา มีความเร็วสูง และก็มีแอปสำหรับ macOS ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน
- เชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้ได้ความเร็วสูงที่สุด คุณควรจะเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ตำแหน่งจริงของคุณมากที่สุด
- เริ่มท่องเว็บได้เลย เท่านั้นเอง คุณก็สามารถท่องเว็บอย่างปลอดภัย สตรีมมิ่งเนื้อหาดาวน์โหลดไฟล์ และเล่นเกมได้ตามต้องการแล้ว
Safari มีส่วนขยาย VPN ให้ใช้งานฟรีหรือไม่?
ไม่มี VPN ฟรีที่เป็นส่วนขยายสำหรับเบราว์เซอร์ Safari แต่ว่ามี VPN ดี ๆ สำหรับ Mac ซึ่งจะสามารถปกป้องข้อมูลของคุณตอนที่ใช้งาน Safari ได้ — Proton VPN เป็น VPN ฟรี ที่ดีที่สุดสำหรับ macOS เพราะว่ามันเปิดให้ใช้งานข้อมูลได้ไม่จำกัด มีความปลอดภัยที่แน่นหนา มีความเร็วดี และก็มีแอปสำหรับ macOS ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานเป็นอย่างสูง
ฉันสามารถใช้ VPN ฟรีสำหรับ Mac กับอุปกรณ์อื่น ๆ ของฉันได้หรือไม่?
ในกรณีส่วนใหญ่จะทำไม่ได้ VPN ฟรี นั้นจะถูกจำกัดให้ใช้งานได้แค่ 1 การเชื่อมต่อ แต่ถ้าอัปเกรดไปใช้เวอร์ชันพรีเมียมแล้วคุณก็จะเชื่อมต่อพร้อมกันหลายอุปกรณ์ได้
เพราะแบบนั้นเราจึงแนะนำตัวเลือกแบบจ่ายเงินแทนเช่น — ExpressVPN ซึ่งจะเปิดให้คุณเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมกันได้ถึง 8 เครื่อง ซึ่งก็ถือว่าเยอะดีมาก ๆ