10 เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดปี 2024

คาทาริน่า กลาโมสลิยา
คาทาริน่า กลาโมสลิยา บรรณาธิการหัวหน้าทีมความปลอดภัยทางไซเบอร์
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย เคท เดวิดสัน
คาทาริน่า กลาโมสลิยา คาทาริน่า กลาโมสลิยา บรรณาธิการหัวหน้าทีมความปลอดภัยทางไซเบอร์
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย เคท เดวิดสัน
บทความนี้ประกอบไปด้วย

ไม่ค่อยมีเวลาใช่ไหม? นี่คือเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งานส่วนใหญ่:

  • 🥇 1Password (\#1 ในปี 2024): ความปลอดภัยแบบที่ไม่มีใครสามารถเจาะเข้าไปได้ มีฟีเจอร์เสริมมากมาย และก็มีแอปที่ใช้งานง่ายสำหรับทุกแพลตฟอร์มและอุปกรณ์ มันมีแพลนราคาถูกสำหรับทั้งผู้ใช้งานแบบส่วนบุคคลและแบบครอบครัว นอกจากนี้มันยังเป็นแบรนด์เดียวที่เปิดให้คุณเพิ่มจำนวนสมาชิกในแพลนแบบครอบครัวได้ไม่จำกัดจำนวน รวมถึงมีให้ทดลองใช้ฟรีอย่างไม่มีความเสี่ยงเป็นเวลา 14 วันอีกด้วย

เราได้ทำการทดสอบเครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับชั้นนำทั้งหมดเพื่อค้นหาตัวที่ดีที่สุดของปี 2024 และสุดท้ายเราก็ได้เลือกมา 10 อันดับ — ซึ่งสามารถใช้เพื่อสร้างรหัสผ่าน เก็บรหัสผ่าน กรอกรหัสผ่านอัตโนมัติ และจัดการรหัสผ่าน ได้ง่ายที่สุด และทุกตัวเลือกก็ยังใช้งานได้ฟรี ไม่ก็มีราคาถูกมาก ๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้คู่กับคูปองสุดเอ็กซ์คลูซีฟของเรา)

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านแย่ ๆ นั้นก็มีอยู่มากมาย — มันไม่มีประสิทธิภาพ ซับซ้อนเกินไป และก็แพงเกินไป แต่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านในรายการนี้นั้นจะมีความปลอดภัยชั้นหนึ่ง ใช้งานง่ายมาก ๆ และก็มีฟีเจอร์เยี่ยม ๆ ในราคา ดี ๆ

เราได้ทำการเปรียบเทียบเครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับชั้นนำ และก็จัดอันดับมันโดยอ้างอิงจากความปลอดภัย การทำงาน ฟีเจอร์เสริม และราคา เพื่อเป็นการค้นหา 10 เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดในปี 2024

ตัวเลือกอันดับหนึ่งของเราคือ 1Password — มันมีฟีเจอร์ความปลอดภัยระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม มีแอปที่ใช้งานง่ายสำหรับทุกอุปกรณ์และเบราว์เซอร์ มีแพลนในราคาไม่แพงสำหรับทั้งผู้ใช้งานส่วนบุคคลและแบบครอบครัว

ทดลองใช้ 1Password เลย (14 วันไม่มีความเสี่ยง)

สรุปโดยย่อเกี่ยวกับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดปี 2024:


🥇1. 1Password — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดโดยรวม (ฟีเจอร์มากมาย ใช้งานง่าย ราคาไม่แพง)

ผ่านการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญของเรา
1Password
ผ่านการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญของเรา
ผู้อ่านส่วนใหญ่เลือก 1Password
ความปลอดภัย
สูง
จำนวนอุปกรณ์
ไม่จำกัด
แพลนสำหรับครอบครัว
ใช่ (5 ผู้ใช้งาน)
ความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ
การรับประกันคืนเงิน
ไม่ (แต่มีทดลองใช้ฟรี 14 วัน)
1password.com

1Password เครื่องมือจัดการรหัสผ่านตัวโปรดของเราในปี 2024 — มันมีความปลอดภัยสูง มีฟีเจอร์มากมาย และก็ใช้งานง่ายมาก ๆ โดยที่มีแพลนราคาไม่แพงสำหรับทั้งผู้ใช้งานส่วนบุคคลและแบบครอบครัว มันจะช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งานด้วยการเข้ารหัส 256-bit AES ที่ไม่มีใครสามารถเจาะเข้าไปได้ ซึ่งนี่จะเป็นการเข้ารหัสแบบเดียวกันกับที่ธนาคารและทางทหารรอบโลกต่างก็เลือกใช้ และมันก็มีนโยบาย zero-knowledge ด้วย ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีใครอื่นนอกจากตัวคุณเองที่จะสามารถเข้าถึงคลังรหัสผ่านของคุณหรือข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของคุณได้

1Password นั้นรองรับพาสคีย์ด้วย พาสคีย์นั้นเป็นตัวเลือกการเข้าใช้งานที่สะดวกและไม่ต้องใช้รหัสผ่านเหมือนวิธีทั่วไป คุณจะไม่ต้องจำชื่อผู้ใช้หรือรหัสผ่านใด ๆ และข้อมูลการล็อกอินของคุณก็จะไม่ถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์เครื่องไหน ๆ เลยด้วย ที่คุณต้องใช้ก็แค่รหัส PIN หรือข้อมูลการตรวจพิสูจน์บุคคลในการล็อกอินเท่านั้น

เราชอบมากที่ 1Password นั้นเปิดให้คุณสร้างคลังรหัสได้หลายคลัง นี่จะทำให้คุณสามารถจัดการรหัสผ่านและรายละเอียดบัตรสำหรับชำระเงินได้ง่ายยิ่งขึ้น และคุณก็จะสามารถควบคุมได้ดีขึ้นเวลาที่คุณแชร์รหัสผ่านกับผู้ใช้งานอื่น — คุณสามารถตั้งค่าให้แชร์ทั้งคลังเลยก็ได้ และก็นำสิ่งที่คุณไม่ต้องการแชร์ไปไว้ในคลังอื่น

🥇1. 1Password — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดโดยรวม (ฟีเจอร์มากมาย ใช้งานง่าย ราคาไม่แพง)

1Password ยังเปิดให้คุณสามารถแชร์ข้อมูลล็อกอินแยกเป็นรายการได้กับทุกคนอีกด้วย — ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้งาน 1Password ก็ตาม นี่! (Password Secure Sharing Tool (เครื่องมือแชร์รหัสผ่านอย่างปลอดภัย)) จะสร้างลิงก์ที่คุณสามารถส่งเป็นอีเมลให้ใครก็ได้ที่คุณต้องการจะแบ่งปันรายละเอียดข้อมูลล็อกอินให้ และคุณก็สามารถตั้งเวลาได้ด้วยว่าจะให้ลิงก์นั้นหมดอายุเมื่อไร ไม่ว่าจะเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งเดือนหรือหลังจากที่มีคน 1 คนเข้าดูลิงก์นั้นแล้วก็ตาม มันเป็นฟีเจอร์ที่สะดวกมาก ๆ สำหรับใช้แชร์รายละเอียดบัญชี Netflix กับแขกที่อาจจะไม่ได้ใช้งาน 1Password

1Password นั้นยังมีฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมให้ใช้ได้มากมายอีกด้วย มันจะช่วยให้รหัสผ่านของคุณมีความปลอดภัย 100% ซึ่งประกอบไปด้วย:

  • 2FA (ระบบยืนยันตัวตนสองชั้น) ซิงก์กับแอปรหัสผ่านแบบครั้งเดียวอย่าง Authy, USB คีย์อย่าง YubiKey และ Fido และตัวสแกนการตรวจพิสูจน์บุคคล (หน้า ลายนิ้วมือ และตา) สำหรับ Windows, Android และ iOS โดยที่ 1Password นั้นก็มี authenticator ยืนยันตัว 2FA ติดมาในตัวด้วย
  • Watchtower สแกน dark web และฐานข้อมูลสาธารณะเพื่อตรวจสอบข้อมูลล็อกอินและข้อมูลทางการเงินที่เกิดการรั่วไหล ตรวจสอบความปลอดภัยของคลังรหัสผ่านของคุณ และก็สร้างรหัสผ่านที่มีความแข็งแกร่งสูง
  • Travel Mode (โหมดเดินทาง) ซ่อนรหัสผ่านที่มีความละเอียดอ่อนจากคลัง เพื่อไม่ให้การตรวจสอบบริเวณชายแดนสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้
  • ตัวเลือกพื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบ Local (ในเครื่อง) ซิงค์คอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ Android หรือ iOS ผ่านเครือข่ายไร้สายภายในซึ่งใช้เซิร์ฟเวอร์ WLAN
  • บัตรส่วนตัว สร้างบัตรสำหรับชำระเงินเสมือนเพื่อปิดบังเลขบัตรเดบิตที่แท้จริงของคุณในขณะทำการสั่งซื้อทางออนไลน์ (ใช้งานได้เฉพาะผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น)
  • อีเมลหลอก ซ่อนที่อยู่อีเมลจริงของคุณด้วยการใช้อีเมลที่ไม่ซ้ำใครมาแทน เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวให้อีเมลของคุณ ฟีเจอร์นี้เกิดขึ้นได้เพราะการร่วมเป็นหุ้นส่วนกับ Fastmail และคุณก็จะต้องใช้งานมันร่วมกับบัญชีของ Fastmail

เครื่องมือทั้งแบบพื้นฐานและแบบขั้นสูงของ 1Password นั้นต่างก็ทำงานได้เป็นอย่างดีในทุกการทดสอบของเรา — เราสามารถสร้างรหัสผ่านใหม่ได้อย่างไม่มีปัญหา สามารถบันทึกข้อมูลการล็อกอิน สามารถกรอกข้อมูลอัตโนมัติ สามารถตั้งค่า Travel Mode (โหมดเดินทาง) และซิงค์ 1Password กับแอป authenticator ของบุคคลที่สามได้ นอกจากนี้การวิเคราะห์คลังรหัสผ่านของเราเพื่อค้นหารหัสผ่านที่มีความอ่อนแอหรือเคยเกิดการรั่วไหลก็ยังสามารถทำได้ง่ายด้วยการใช้ฟีเจอร์ Watchtower

🥇1. 1Password — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดโดยรวม (ฟีเจอร์มากมาย ใช้งานง่าย ราคาไม่แพง)

1Password นั้นยังมีแพลน Families  ที่ดีมาก ๆ อีกด้วย — หนึ่งการสมัครสมาชิกนั้นสามารถใช้งานได้ 5 คน และก็สามารถเพิ่มคนได้โดยจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเพียงเล็กน้อยมาก ๆ นี่เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าของคู่แข่ง — แม้แต่คู่แข่งระดับชั้นนำอย่าง Dashlane ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนผู้ใช้งานที่สามารถรองรับได้ภายในหนึ่งการสมัครสมาชิกอยู่ และฟังก์ชันการแชร์คลังที่ใช้งานง่ายของ 1Password นั้นก็ทำให้คุณสามารถแชร์รหัสผ่านระหว่างสมาชิกในครอบครัวได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่คุณยังสามารถเก็บรหัสอีกส่วนหนึ่งไว้เป็นส่วนตัวได้

1Password มีทั้งแพลนแบบ individual, family และ business ซึ่งต่างก็มีฟีเจอร์ดี ๆ ให้ใช้งานในราคาที่ถูกกว่าแบรนด์คู่แข่ง มันไม่มีแพลนระดับฟรี แต่ 1Password นั้นมีราคาเริ่มต้นเพียง US$2.99 / เดือน และคุณก็สามารถทดลองใช้งานมันได้ผ่าน การทดลองใช้ฟรี 14 วัน ก่อนที่จะตัดสินใจว่ามันเหมาะกับคุณหรือไม่

รับส่วนลด 25% จาก 1Password เลยวันนี้!
ใช้ประโยชน์จากข้อเสนอที่มีเวลาจำกัดนี้!

สรุป:

1Password นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีความปลอดภัยและเข้าใจได้ง่าย อินเทอร์เฟซก็ใช้งานง่าย ฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ก็มีให้เลือกใช้ได้มากมาย มันมาพร้อมกับฟีเจอร์เสริมด้านความปลอดภัยที่มากกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ อย่างเช่นการสแกน Dark Web, คลังลับ, บัตรชำระเงินเสมือน และอื่น ๆ โดยที่ 1Password นั้นมีแพลนให้เลือกสำหรับทั้งแบบบุคคลและแบบครอบครัว — สามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานได้ไม่จำกัดโดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 1Password จะมีให้ทดลองใช้ฟรีได้เป็นเวลา 14 วันสำหรับทุกแพลนที่เปิดให้บริการ

อ่านรีวิว 1Password ฉบับเต็ม >

🥈2. Dashlane — ฟีเจอร์เสริมด้านความปลอดภัยที่ดีที่สุด

ความปลอดภัย
สูง
จำนวนอุปกรณ์
ไม่จำกัด
แพลนสำหรับครอบครัว
ใช่ (10 ผู้ใช้งาน)
ความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ
การรับประกันคืนเงิน
30 วัน
dashlane.com

Dashlane นั้นมีความปลอดภัยสูงมาก ใช้งานง่าย และก็มีฟีเจอร์ที่โดดเด่นมากมายที่แบรนด์อื่นไม่มีให้ใช้งาน ระหว่างการทดสอบของเรา Dashlane นั้นสามารถทำงานได้ดีในทุกด้าน — ทั้งแอปในเว็บ, ส่วนขยายเบราว์เซอร์สำหรับ Firefox และ Chrome รวมถึงแอปอุปกรณ์เคลื่อนที่นั้นต่างก็ทำให้เราสามารถจัดการรหัสผ่านได้อย่างราบรื่นและมีความเสถียร และเราก็ไม่พบปัญหาใด ๆ จากการสร้างรหัสผ่านแบบสุ่ม หรือการซิงค์ข้อมูลกับทุกอุปกรณ์ รวมถึงการกรอกข้อมูลอัตโนมัติเลยทั้งแบบฟอร์มบนเว็บขั้นพื้นฐานและแบบขั้นสูง

🥈2. Dashlane — ฟีเจอร์เสริมด้านความปลอดภัยที่ดีที่สุด

Dashlane นั้นยังมาพร้อมกับ:

  • VPN (ซึ่งมีข้อมูลให้ใช้ได้ไม่จำกัด รวมถึงมีไม่จำกัดตั้งอยู่ในประเทศไทย)
  • การเฝ้าระวัง Dark web
  • การแชร์รหัสผ่าน
  • การตรวจสอบความแข็งแกร่งรหัสผ่าน
  • รองรับพาสคีย์
  • การกู้คืนบัญชี
  • การป้องกันการฟิชชิง
  • พื้นที่จัดเก็บที่มีความปลอดภัย (1 GB)
  • และอื่น

ฟีเจอร์ทั้งหมดของ Dashlane นั้นมีประโยชน์ ใช้งานง่าย และทำงานได้จริงตามที่โฆษณา เราชอบฟีเจอร์การตรวจสอบความแข็งแกร่งรหัสผ่านของ Dashlane เป็นพิเศษ — มันจะช่วยตรวจสอบคลังรหัสผ่านทั้งคลังของคุณและมันจะแจ้งเตือนคุณถ้ามันตรวจพบรหัสผ่านที่มีความอ่อนแอ มีการใช้ซ้ำ หรือเกิดการรั่วไหล ถ้าหากว่า Dashlane มีการปักธงกับรหัสผ่านใด ๆ ของคุณแล้ว คุณก็จะสามารถใช้เครื่องมือสร้างรหัสผ่านแบบสุ่มเพื่อทำการเปลี่ยนรหัสผ่านนั้นไปเป็นรหัสผ่านที่มีความแข็งแกร่งไม่ถูกแฮ็กง่าย ๆ ได้เลย

Dashlane นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านตัวเดียวในรายการนี้ที่มาพร้อมกับ VPN (เครือข่ายส่วนตัวเสมือน) — และมันก็ใช้งานได้อย่างปลอดภัย รวดเร็ว และเข้ากันได้กับเว็บไซต์สตรีมมิ่งยอดนิยมอีกด้วย จากการทดสอบของเรา VPN ของ Dashlane นั้นเร็วกว่า VPN แบบสแตนด์อโลน บางตัวเสียอีก ทำให้เราสามารถท่องเว็บ สตรีมดูวิดีโอ และเล่นเกมได้อย่างไม่ถูกรบกวน

🥈2. Dashlane — ฟีเจอร์เสริมด้านความปลอดภัยที่ดีที่สุด

Dashlane นั้นยังมีตัวเลือกในการกู้คืนบัญชี ซึ่งผู้ใช้งานจะสามารถสร้าง “คีย์กู้คืน” ซึ่งมีความยาว 28 อักขระและไม่ซ้ำใคร จับคู่กับขั้นตอนการยืนยันตัวตน นี่จะทำให้คุณสามารถเข้าถึงบัญชีของคุณได้ถ้าหากว่าคุณลืมรหัสผ่านหลัก คุณควรจะเก็บคีย์นี้ไว้นอก Dashlane ถ้าจะให้ดีก็ควรเก็บไว้กับเอกสารสำคัญหรือไว้กับผู้ติดต่อที่คุณไว้ใจผ่านทาง Secure Note (บันทึกปลอดภัย)

ยิ่งไปกว่านั้น Dashlane ยังจะสามารถช่วยป้องกันภัยอันตรายจากการฟิชชิงได้ด้วย มันจะแจ้งเตือนคุณถ้าหากว่าคุณเข้าไปในเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือน Dashlane สำหรับแพลนระดับพรีเมียม มันจะแจ้งเตือนคุณด้วยถ้าคุณคัดลอกและวางข้อมูลจาก Dashlane ไปใส่ในเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวกับข้อมูลล็อกอินนั้น ๆ นี่เป็นการเพิ่มความปลอดภัยขึ้นไปอีกชั้นสำหรับข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนของคุณ

Dashlane นั้นมีแพลนระดับฟรีที่ดีที่สุด มันมีพื้นที่จัดเก็บรหัสผ่านให้ถึง 25 รหัสผ่านบน 1 อุปกรณ์ และมันก็ยังมีการบันทึกและกรอกรหัสผ่านอัตโนมัติให้ใช้ได้ด้วย รวมถึงมีการตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน และก็สามารถแชร์รหัสผ่านให้ผู้ใช้งานได้ไม่จำกัดอีกด้วย เครื่องมือจัดการรหัสผ่านฟรีส่วนใหญ่แล้วมักจะมีข้อจำกัดหลายอย่าง แต่ถ้าคุณไม่อยากต้องจ่ายเงินเพื่อใช้งานผลิตภัณฑ์แบบพรีเมียม Dashlane Free ก็เป็นตัวเลือกที่ถือว่าใช้ได้ดีพอแล้ว

Dashlane นั้นยังมีตัวเลือกแพลนระดับท็อปอีก 3 แพลนด้วย Advanced (สำหรับ 1 ผู้ใช้งาน), Premium (สำหรับ 1 ผู้ใช้งาน) และ Friends & Family (สำหรับผู้ใช้งานสูงสุด 10 คน) Dashlane Advanced เป็นแพลนที่มีฟีเจอร์เต็มรูปแบบ และก็มีราคาระดับพรีเมียมแบบเริ่มต้นที่แข่งขันได้ (มันมีราคาเพียง US$4.99 / เดือน) Dashlane Premium จะมีราคาสูงกว่าคู่แข่งบางราย แต่มันจะมีฟีเจอร์มากกว่า (ไม่ว่าจะเป็น VPN ที่เปิดให้ใช้งานข้อมูลได้ไม่จำกัด) รวมถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ที่มีให้มากกว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านรายอื่น ๆ — และคุณก็จะสามารถรับส่วนลดได้ถึง 25% ถ้าคุณกรอกโค้ด SAFETYD25 ตอนชำระเงิน ดังนั้นมันจะมีราคาอยู่ที่ US$4.99 / เดือน (ซึ่งถ้าถามเรา นี่ก็เป็นข้อเสนอที่ดีมาก ๆ) แพลนแบบจ่ายเงินของ Dashlane นั้นมีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน

ทดลองใช้งาน Dashlane โดยไม่มีความเสี่ยงเป็นเวลา 30 วัน!
รับ Dashlane Premium ไปใช้งานฟรี ๆ ถึง 30 วัน!

สรุป:

Dashlane นั้นมีความปลอดภัย ใช้งานง่าย และก็มีฟีเจอร์คุณภาพเยี่ยมให้ใช้งานได้มากมาย — อย่างเช่นการตรวจสอบความปลอดภัยรหัสผ่าน, การแชร์รหัสผ่าน, การเฝ้าระวัง dark web, 2FA และอีกมากมาย นอกจากนี้มันยังเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านรายเดียวที่มี VPN ให้ใช้งาน (และก็เป็น VPN ที่ใช้งานได้ดีอีกด้วย) Dashlane Free นั้นจะมีแถมให้ทดลองใช้แพลน Premium ได้ฟรีด้วย และการสั่งซื้อทั้งหมดของ Dashlane นั้นก็จะมาพร้อมกับการรับประกันคืนเงินอย่างไม่มีความเสี่ยงเป็นเวลา 30 วัน

อ่านรีวิว Dashlane ฉบับเต็ม >

🥉3. RoboForm — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด (พร้อมความสามารถกรอกข้อมูลอัตโนมัติที่ดีเยี่ยม)

ความปลอดภัย
สูง
จำนวนอุปกรณ์
ไม่จำกัด
แพลนสำหรับครอบครัว
ใช่ (5 ผู้ใช้งาน)
ความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ
การรับประกันคืนเงิน
30 วัน
roboform.com

RoboForm นั้นมีความสามารถในการกรอกข้อมูลอัตโนมัติที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่เราได้ทดสอบมา — ในขณะที่คู่แข่งชั้นนำอย่าง 1Password และ Dashlane ก็จะสามารถกรอกแบบฟอร์มบนเว็บขั้นสูงให้คุณได้เช่นกัน แต่ RoboForm นั้นสามารถกรอกแบบฟอร์มบนเว็บทีซับซ้อนที่สุดอย่างแม่นยำได้ภายในคลิกเดียว

ด้วย RoboForm คุณจะสามารถสร้าง “ตัวตน” สำหรับแบบฟอร์มบนเว็บไซต์ได้มากมาย มันมีหมวดหมู่แยกถึง 8 หมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเดินทาง บัตรเครดิต และข้อมูลยานพาหนะ ระหว่างการทดสอบของเรา เราสามารถกรอกข้อมูลกับแบบฟอร์มบนเว็บทุกรูปแบบได้อย่างง่ายดาย — ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพื้นฐานอย่างการล็อกอินโซเชียลมีเดียไปจนกระทั่งแบบฟอร์มด้านการบัญชีออนไลน์ — โดยที่ไม่เกิดข้อผิดพลาดหรือมีช่องที่ไม่ได้กรอกเลย!

🥉3. RoboForm — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด (พร้อมความสามารถกรอกข้อมูลอัตโนมัติที่ดีเยี่ยม)

RoboForm นั้นยังมาพร้อมกับ:

  • ตัวเลือก 2FA ที่หลากหลาย
  • การตรวจสอบความปลอดภัยรหัสผ่าน
  • การเฝ้าระวังการรั่วไหลของข้อมูล
  • รองรับพาสคีย์
  • การแชร์รหัสผ่านและบันทึกอย่างปลอดภัย
  • พื้นที่จัดเก็บบุ๊กมาร์กที่มีความปลอดภัย
  • การเข้าถึงฉุกเฉิน
  • การสำรองข้อมูลบนคลาวด์

RoboForm นั้นใช้งานง่ายมาก ๆ ในการทดสอบของเรา เราสามารถแชร์ข้อมูลการล็อกอินกับผู้ใช้งานคนอื่น, ให้อนุญาตการเข้าถึงฉุกเฉิน และตรวจสอบความอ่อนแอในคลังรหัสผ่าน รวมถึงรหัสผ่านที่ตั้งซ้ำ หรือเกิดการรั่วไหลได้อย่างง่ายดาย RoboForm นั้นยังใช้งานเข้ากันได้ดีกับแอป 2FA อย่าง Google Authenticator อีกด้วย และเราก็สามารถล็อกอินเข้าถึงบัญชี RoboForm ด้วยการล็อกอินแบบการตรวจพิสูจน์บุคคลได้อย่างไม่มีปัญหา

RoboForm นั้นเป็นหนึ่งในเครื่องมือจัดการรหัสผ่านน้อยรายที่สามารถบันทึกการล็อกอินบนแอปพลิเคชันได้ด้วย ฟีเจอร์นี้มีประโยชน์มาก มันจะช่วยบันทึกและกรอกข้อมูลล็อกอินของคุณให้อัตโนมัติสำหรับแอปพลิเคชันบน Windows ของคุณอย่างเช่น Spotify หรือ Zoom

RoboForm นั้นยังมีฟีเจอร์การแชร์รหัสผ่าน ซึ่งเราพบว่ามันมีความปลอดภัยและความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานสูงมากระหว่างการทดสอบ ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่มันยังใช้งานได้ไม่ดีนักในแง่ตัวเลือกสำหรับแบบแยกรายการ เวลาที่คุณแชร์แบบแยกรายการ ทางผู้รับจะสามารถดูได้เท่านั้น — จะไม่มีตัวเลือกที่เปิดให้พวกเขาแก้ไขหรือแชร์ต่อได้ ถึงแม้ว่า RoboForm จะมีตัวเลือกการให้อนุญาตสำหรับโฟลเดอร์ที่แชร์ออกไป แต่มันก็ยังมีอะไรที่ต้องปรับปรุงอีกเยอะเพื่อที่จะไล่ตามคู่แข่งระดับชั้นนำอย่าง 1Password ผู้ที่มีการตั้งค่าให้อนุญาตอย่างละเอียดสำหรับแต่ละรหัสผ่านที่แชร์ออกไป

สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากเกี่ยวกับ RoboForm ก็คือพื้นที่จัดเก็บบุ๊กมาร์กที่มีความปลอดภัย มันทำให้ผู้ใช้งานสามารถบันทึกและซิงค์บุ๊กมาร์กจากเบราว์เซอร์เดสก์ท็อปส่งไปได้ทุกอุปกรณ์ที่มี RoboForm ติดตั้งอยู่ ฟีเจอร์ที่มีความโดดเด่นนี้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เราสามารถเข้าถึงเว็บโปรดของเราผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ในทันที

🥉3. RoboForm — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด (พร้อมความสามารถกรอกข้อมูลอัตโนมัติที่ดีเยี่ยม)

RoboForm นั้นเป็นหนึ่งในเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีความคุ้มค่าที่สุด RoboForm Free มีการกรอกแบบฟอร์ม, ตรวจสอบความแข็งแกร่งรหัสผ่าน, 2FA, สำรองคลาวด์ได้ 1 อุปกรณ์ และพื้นที่จัดเก็บบุ๊กมาร์กที่มีความปลอดภัย RoboForm Premium จะเปิดให้คุณซิงค์และสำรองข้อมูลคลาวด์ได้ไม่จำกัดจำนวนอุปกรณ์ RoboForm Family ก็จะเหมือนกันแต่เพิ่มสิทธิ์การใช้งานขึ้นเป็น 5 ผู้ใช้งาน

และแพลนทั้งหมดก็ มีราคาค่อนข้างถูกกว่า เครื่องมือจัดการรหัสผ่านรายอื่น ๆ — RoboForm Premium มีราคาเพียง US$0.99 / เดือน ในขณะที่ Family มีราคาเพียง US$1.59 / เดือน ทำให้ RoboForm เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งานที่มีงบจำกัด RoboForm นั้นมีการรับประกันคืนเงินสำหรับทุกแพลนเป็นเวลา 30 วัน

รับส่วนลด 60% จาก RoboForm เลยวันนี้!
คุณสามารถประหยัด 60% หากคุณใช้ส่วนลดตอนนี้

สรุป:

RoboForm นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่เยี่ยม ซึ่งมีเครื่องมือกรอกข้อมูลที่ดีที่สุด มันมาพร้อมกับส่วนเสริมด้านความปลอดภัยชั้นหนึ่งอาทิเช่น 2FA, การตรวจสอบความแข็งแกร่งรหัสผ่าน, พื้นที่จัดเก็บบุ๊กมาร์กที่มีความปลอดภัย, พื้นที่จัดเก็บคลาวด์ที่มีความปลอดภัย, การเข้าถึงฉุกเฉิน และอีกมากมาย แพลนระดับพรีเมียมของ RoboForm นั้นมาพร้อมกับสิทธิ์ทดลองใช้ RoboForm Premium ฟรีเป็นเวลา 30 วัน ซึ่งมันก็มีราคาถูกกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่อีกด้วย การสั่งซื้อทั้งหมดของ RoboForm นั้นมีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน

อ่านรีวิว RoboForm ฉบับเต็ม >

4. NordPass — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานง่ายที่สุด (และมีอินเทอร์เฟซผู้ใช้งานที่ดีที่สุด)

ความปลอดภัย
สูง
จำนวนอุปกรณ์
ไม่จำกัด
แพลนสำหรับครอบครัว
ใช่ (6 ผู้ใช้งาน)
ความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ
การรับประกันคืนเงิน
30 วัน
nordpass.com

NordPass เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานง่าย และถึงแม้ว่ามันจะมีฟีเจอร์เสริมไม่มากเท่ากับคู่แข่งอย่าง 1Password หรือ Dashlane แต่มันก็มีการป้องกันรหัสผ่านที่ดีเยี่ยมผ่านอินเทอร์เฟซที่เข้าใจได้ง่าย นี่ทำให้มันเป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ สำหรับผู้ใช้งานมือใหม่และผู้ใช้งานที่ไม่ใช่สายเทคนิคในปี 2024

NordPass ใช้การเข้ารหัสแบบ XChaCha20 — มันได้กล่าวอ้างว่าการเข้ารหัสด้วยวิธีนี้นั้นมีความปลอดภัยกว่าการเข้ารหัส 256-bit AES ที่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่ใช้กัน แต่พูดกันตามจริงแล้ว ทั้งสองวิธีนี้ก็ยังไม่เคยถูกแฮ็กเกอร์เจาะได้มาก่อน ดังนั้นก็เลยยากที่จะบอกว่าจริง ๆ แล้ววิธีไหนดีกว่ากัน และมันก็ยังมีนโยบาย zero-knowledge เพื่อป้องกันไม่ให้แม้แต่พนักงานที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ ในกรณีที่คุณลืมรหัสผ่านของคุณ อย่างไรก็ตาม ด้วยการตรวจพิสูจน์บุคคลบน Windows, Mac และอุปกรณ์เคลื่อนที่ ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องจำรหัสผ่านหลักเลย แถม NordPass ยังมีตัวเลือกการยืนยันตัวตนหลายชั้น (MFA) มากมาย ทำให้การปกป้องบัญชีของคุณจากการโจรกรรมข้อมูลนั้นกลายเป็นเรื่องง่าย

4. NordPass — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานง่ายที่สุด (และมีอินเทอร์เฟซผู้ใช้งานที่ดีที่สุด)

ฟีเจอร์เสริมที่ NordPass มีให้นั้นประกอบไปด้วย:

  • รองรับพาสคีย์
  • เครื่องมือตรวจความแข็งแกร่งรหัสผ่าน
  • การแชร์รหัสผ่าน
  • การเฝ้าระวัง Dark web
  • การซิงค์หลายอุปกรณ์
  • ล็อกอินด้วย Biometric (การตรวจพิสูจน์บุคคล)
  • พื้นที่จัดเก็บอย่างปลอดภัย 3 GB

NordPass นั้นเป็นผลิตภัณฑ์จากทีมความปลอดภัยทางไซเบอร์ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง NordVPN (หนึ่งใน VPN ชั้นนำที่เราเลือกในปี 2024) มันค่อนข้างที่ยังใหม่อยู่ ดังนั้นฟีเจอร์ใหม่จึงถูกเพิ่มเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ — อย่างเช่นการกรอกแบบฟอร์ม และตัวเลือกการปรับแต่ง UI ต่าง ๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังมีฟีเจอร์ไม่มาก แต่ NordPass ก็มีอินเทอร์เฟซที่เรียบง่าย ใช้งานสะดวก ระหว่างการทดสอบของเรา เราสามารถนำเข้ารหัสผ่าน สร้างรหัสผ่านใหม่ และบันทึกข้อมูลล็อกอินใหม่ด้วยส่วนขยายของ NordPass ได้อย่างง่ายดายไม่มีปัญหาใด ๆ

NordPass ทำให้การแชร์รหัสผ่านกลายเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ๆ อย่างเดียวที่คุณต้องทำก็เพียงแค่กรอกที่อยู่อีเมลของคนที่คุณต้องการจะแชร์รหัสผ่านให้ จากนั้นก็เลือกสิทธิ์ในการเข้าถึงและก็คลิก Share (แชร์) มันจะไม่เจาะลึกละเอียดเท่ากับการแชร์รหัสผ่านของ 1Password (ซึ่งจะเปิดให้คุณแชร์ทั้งคลังได้เลย) แต่มันก็ยังถือว่าใช้งานได้ดีมากอยู่

นอกจากนี้เรายังชอบที่ NordPass นั้นมีพื้นที่จัดเก็บไฟล์อย่างปลอดภัยให้ผู้ใช้งานพรีเมียมถึง 3 GB เลยอีกด้วย ให้เยอะกว่าคู่แข่งหลายรายมาก ยกตัวอย่างเช่น LastPass ซึ่งมีพื้นที่จัดเก็บอย่างปลอดภัยให้แค่ 1 GB เท่านั้น มันไม่ได้จำกัดด้วยว่าสามารถเก็บไฟล์ชนิดไหนไว้กับ NordPass ได้บ้าง (ถ้าไฟล์มีขนาดไม่เกิน 50 MB) และคุณก็สามารถแนบไฟล์เข้ากับทั้งรหัสผ่านและตัวตนที่เก็บเอาไว้ได้ — ซึ่งก็เป็นฟีเจอร์ที่ดีมาก

4. NordPass — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานง่ายที่สุด (และมีอินเทอร์เฟซผู้ใช้งานที่ดีที่สุด)

มันมีราคาถูกมากด้วย แพลนของมันมีราคาเริ่มต้นที่ US$1.24 / เดือน มีเวอร์ชันฟรีให้ใช้งานได้ แต่คุณจะสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้แค่ครั้งละ 1 อุปกรณ์ ซึ่งก็ทำให้ลำบากอยู่พอตัว ถ้าอัปเกรดไปใช้ NordPass Premium คุณจะสามารถใช้งานพร้อมกันได้ไม่จำกัดจำนวนอุปกรณ์ และก็สามารถแชร์รหัสผ่านได้ไม่จำกัด ถ้าคุณอัปเกรดไปใช้ NordPass Family ก็จะใช้ฟีเจอร์ได้เท่ากันแต่จะเพิ่มให้ใช้งานได้ถึง 6 ผู้ใช้งาน

สรุป:

NordPass นั้นมีอินเทอร์เฟซที่คล่องตัวใช้งานง่าย ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหาเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่เรียบง่าย มันใช้วิธีการเข้ารหัสที่แข็งแกร่งที่สุด และก็มีโปรโตคอล zero-knowledge และตัวเลือก MFA ที่ดีใช้ได้ NordPass นั้นมีฟีเจอร์ไม่มาก แต่มันมีวิธีการสร้างและบันทึกรหัสผ่านใหม่ รวมถึงการแชร์ล็อกอินให้ผู้ใช้งานอื่นแบบที่เรียบง่ายมาก ๆ คุณสามารถทดลองใช้ NordPass ได้ผ่านการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน

อ่านรีวิว NordPass ฉบับเต็ม >

5. Keeper — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัยที่สุด

ความปลอดภัย
สูง
จำนวนอุปกรณ์
ไม่จำกัด
แพลนสำหรับครอบครัว
ใช่ (5 ผู้ใช้งาน)
ความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ
การรับประกันคืนเงิน
ไม่ (แต่มีทดลองใช้ฟรี 30 วัน)
keepersecurity.com

Keeper นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานง่ายและมีความปลอดภัยในระดับที่สูงมาก ๆ — การเข้ารหัส 256-bit AES, นโยบาย zero-knowledge, รองรับพาสคีย์ และตัวเลือกการยืนยันตัวตนหลายชั้น (MFA) ที่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบบพื้นฐานที่ใช้งานกับแอป 2FA อย่าง Google Authenticator ได้ ไปจนกระทั่งแบบขั้นสูงอย่างการล็อกอินด้วยหน้าหรือลายนิ้วมือบนอุปกรณ์มือถือและสมาร์ทวอทช์

นอกจากจะมีความปลอดภัยมาก ๆ แล้ว Keeper ก็ยังใช้งานง่ายมาก ๆ อีกด้วย ซึ่งมี UI ภาษาไทยสำหรับ Mac— และฟีเจอร์กับฟังก์ชันทั้งหมดของมันก็ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยระหว่างการทดสอบของเรา Keeper นั้นสามารถบันทึกข้อมูลล็อกอินใหม่ของเราได้ในทันที และมันก็สามารถกรอกทั้งรหัสผ่านและแบบฟอร์มบนเว็บได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

เรื่องการแชร์ข้อมูลล็อกอินให้ผู้ใช้งานคนอื่นก็ง่ายมากเช่นกัน รวมถึงขั้นตอนการตั้งสิทธิ์การเข้าถึงด้วย — การตั้งค่าเริ่มต้นสำหรับการแชร์รหัสผ่านนั้นจะถูกตั้งเป็นแบบ “read only (อ่านเท่านั้น)” แต่เราสามารถมอบสิทธิ์การควบคุมรหัสผ่านที่แชร์ได้มากกว่านี้ภายในคลิกเดียว ฟีเจอร์ One-Time Share (แชร์ครั้งเดียว) นั้นก็ใช้งานง่ายเหมือนกัน และมันก็เป็นวิธีการแชร์รหัสผ่านที่ปลอดภัยสำหรับเพื่อนหรือครอบครัวที่ไม่ได้ใช้งาน Keeper คุณเพียงแค่ต้องเลือกรายการที่คุณอยากจะแชร์ และก็ตั้งเวลาหมดอายุที่คุณต้องการ จากนั้นลิงก์ก็จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้คุณนำไปส่งได้เลย

5. Keeper — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัยที่สุด

Keeper นั้นยังเปิดให้คุณสามารถเก็บข้อมูลในคลังได้อย่างหลากหลายอีกด้วย มันมีเทมเพลตถึง 20 แบบให้คุณใช้กรอกรายละเอียดอย่างใบขับขี่ สูติบัตร ประกันสุขภาพ การสมัครสมาชิก ไลเซนส์ซอฟต์แวร์ และอีกมากมาย

ฟีเจอร์เสริมที่ Keeper มีให้นั้นประกอบไปด้วย:

  • การส่งข้อความอย่างปลอดภัย (KeeperChat)
  • รองรับพาสคีย์
  • พื้นที่จัดเก็บแบบเข้ารหัส (10 GB ในแพลนสำหรับครอบครัว)
  • การตรวจสอบความปลอดภัยรหัสผ่าน
  • การเฝ้าระวัง dark web (ส่วนขยายแบบจ่ายเงิน)

แอปส่งข้อความอย่างปลอดภัยนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราชื่นชอบที่สุดเกี่ยวกับ Keeper KeeperChat นั้นเป็นตัวส่งข้อความแบบเข้ารหัสซึ่งมาพร้อมกับตัวเลือกมากมายที่จะช่วยให้คุณส่งและรับข้อความได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการเพิกถอนข้อความ การทำลายตัวเอง แกลเลอรี่ส่วนตัวสำหรับเก็บภาพและวิดีโอ

5. Keeper — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัยที่สุด

Keeper นั้นยังมาพร้อมกับพื้นที่จัดเก็บที่มากกว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านรายอื่น ๆ อีกด้วย — ในขณะที่คู่แข่งชั้นนำอย่าง 1Password และ Dashlane จะมีพื้นที่จัดเก็บให้ 1GB ต่อคน แต่ทาง Keeper นั้นมีพื้นที่จัดเก็บให้ถึง 10 GB ในแพลนสำหรับครอบครัว โดยมีตัวเลือกให้อัปเกรดไปใช้งานได้สูงถึง 100 GB (ไม่มีเครื่องมือจัดการรหัสผ่านตัวไหนอีกแล้วที่ให้พื้นที่เยอะขนาดนี้)

Keeper Unlimited จะเปิดให้คุณเข้าถึงรหัสผ่านได้ไม่จำกัดจำนวนอุปกรณ์ รวมถึงการแชร์รหัสผ่านและการยืนยันตัวตนหลายชั้นในราคา US$2.92 / เดือน และ Keeper Family จะเพิ่มผู้ใช้งานได้ถึง 5 ผู้ใช้งาน และก็มีพื้นที่จัดเก็บอย่างปลอดภัยถึง 10 GB US$6.25 / เดือน บริการส่วนขยายเพิ่มเติมสำหรับทั้งสองแพลนนั้นประกอบไปด้วยการเฝ้าระวัง dark web และพื้นที่จัดเก็บสูงถึง 100 GB นอกจากนี้ก็ยังมีเวอร์ชันฟรีที่ค่อนข้างจำกัดเป็นอย่างมากด้วย — มันจะขาดฟีเจอร์ส่วนใหญ่ของ Keeper ไป และก็ใช้งานได้เพียงแค่ 1 อุปกรณ์

สรุป:

Keeper นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีความปลอดภัยสูง ซึ่งมีการป้องกันอย่างเต็มรูปแบบเพื่อที่จะช่วยปกป้องและทำให้คุณจัดการรหัสผ่านได้อย่างปลอดภัย มันมาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยทางไซเบอร์มากมาย — การเข้ารหัสที่แข็งแกร่ง การตรวจสอบความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน แอปส่งข้อความแบบเข้ารหัส และพื้นที่จัดเก็บอย่างปลอดภัยที่มากกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ (10 GB – 100 GB) Keeper นั้นมีตัวเลือกแพลนที่หลากหลายสำหรับทั้งแบบบุคคลและแบบครอบครัว ดังนั้นคุณจึงสามารถค้นหาแพลนที่ตรงกับความต้องการสำหรับคุณได้ในราคาที่โดนใจ คุณสามารถทดลองใช้งานฟีเจอร์พรีเมียมทั้งหมดได้ผ่านการทดลองใช้ฟรีเป็นเวลา 30 วัน

อ่านรีวิว Keeper ฉบับเต็ม >

6. LastPass — แพลนระดับฟรีที่ดีเยี่ยม

ความปลอดภัย
สูง
จำนวนอุปกรณ์
ไม่จำกัด
แพลนสำหรับครอบครัว
ใช่ (6 ผู้ใช้งาน)
ความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ
การรับประกันคืนเงิน
ไม่ (แต่มีทดลองใช้ฟรี 30 วัน)
lastpass.com
LastPass ยังคงได้ติดอันดับรายการเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดของเรา ถึงแม้ว่ามันจะพึ่งเกิดปัญหาด้านความปลอดภัยเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากมันมีฟีเจอร์ที่ใช้งานได้มากมาย ใช้งานสะดวก และก็ใช้งานได้กับหลายแพลตฟอร์ม ทำให้มันยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอยู่ และถึงแม้ว่าแพลนระดับฟรีจะมีฟีเจอร์น้อยกว่าที่เคย แต่มันก็ยังเป็นหนึ่งในแพลนระดับฟรีที่ดีที่สุดอยู่ดี

LastPass นั้นมีความปลอดภัย มีฟีเจอร์เยอะ เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน และก็มีแพลนระดับฟรีที่ดีมาก ๆ — มันเป็นหนึ่งในเครื่องมือจัดการรหัสผ่านน้อยรายที่เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถจัดเก็บรหัสผ่านได้ไม่จำกัด (ทั้งบนอุปกรณ์เคลื่อนที่และเดสก์ท็อปที่ไม่จำกัดจำนวนเครื่องด้วย — แต่เลือกได้อย่างใดอย่างหนึ่ง) และก็สามารถแชร์รหัสผ่านได้ไม่จำกัดจำนวน (กับผู้ใช้งานเพียง 1 ราย)

LastPass Free นั้นยังมี:

  • การกู้คืนบัญชี
  • การยืนยันตัวตนหลายชั้นขั้นพื้นฐาน
  • พื้นที่จัดเก็บบันทึกอย่างปลอดภัย

6. LastPass — แพลนระดับฟรีที่ดีเยี่ยม

เราชอบที่ LastPass นั้นมีตัวเลือกการกู้คืนบัญชีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการกู้คืนทาง SMS, การบอกใบ้รหัสผ่านหลัก หรือรหัสผ่านสำหรับกู้คืนแบบใช้ครั้งเดียว ตัวเลือกทั้งหลายเหล่านี้จะทำให้คุณสามารถกลับมาเข้าถึงคลังรหัสผ่าน LastPass ได้อย่างง่ายดายในกรณีที่คุณลืมรหัสผ่านหลัก

เราชอบตัวเลือก MFA ของ LastPass มาก — มันสามารถซิงก์ข้อมูลกับ LastPass Authenticator และแอปของบุคคลที่สามอย่าง Google Authenticator และ Microsoft Authenticator ได้ แพลนแบบจ่ายเงินของ LastPass นั้นมีตัวเลือก MFA ขั้นสูงให้ใช้งานซึ่งประกอบไปด้วย YubiKey, Sesame และการยืนยันตัวตนแบบใช้ลายนิ้วมือ

6. LastPass — แพลนระดับฟรีที่ดีเยี่ยม

ถ้าอัปเกรดไปใช้ LastPass Premium คุณก็จะได้รับฟีเจอร์เสริมมากมาย รวมถึง MFA ขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นการแชร์รหัสผ่านกับหลายผู้ใช้งาน, การเฝ้าระวัง dark web, การเข้าถึงอย่างฉุกเฉิน และพื้นที่จัดเก็บคลาวด์ 1 GB

LastPass Premium มีราคา US$1.50 / เดือน ซึ่งก็ถือว่ามีความคุ้มค่าที่ดี แต่มันก็ยังมีราคาที่แพงกว่าแบรนด์ที่ได้อันดับสูงกว่าอย่าง RoboForm เป็นต้น LastPass Families จะเพิ่มให้สามารถใช้งานได้ 6 ผู้ใช้งาน US$2.00 / เดือน ทำให้มันเป็นตัวเลือกสำหรับครอบครัวที่ดีมาก ๆ ตัวหนึ่ง

สรุป:

LastPass นั้นมีตัวเลือกแพลนเครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบฟรีที่ดีมาก — แพลนระดับฟรีนั้นมีฟีเจอร์มากมายให้ใช้งาน อย่างเช่นตัวเลือกการกู้คืนบัญชี, MFA พื้นฐาน และการแชร์รหัสผ่านอย่างไม่จำกัดกับผู้ใช้งาน 1 คน ในขณะที่ LastPass Free จะเปิดให้ซิงค์รหัสผ่านระหว่างอุปกรณ์ได้หนึ่งชนิดเท่านั้น (อุปกรณ์เคลื่อนที่หรือเดสก์ท็อป) ถ้าคุณอัปเกรดไปใช้งาน LastPass Premium คุณก็จะสามารถซิงค์ข้อมูลได้บนทุกอุปกรณ์ รวมถึงสามารถแชร์รหัสผ่านได้อย่างไม่จำกัด, การเฝ้าระวัง dark web, MFA ขั้นสูง และอื่น ๆ อีกมากมาย LastPass Free นั้นจะมาพร้อมกับสิทธิ์การทดลองใช้ LastPass Premium ฟรีเป็น 30 วัน

อ่านรีวิว LastPass ฉบับเต็ม >

7. Total Password — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีความเสถียร ออกจากระบบระยะไกลได้

ความปลอดภัย
สูง
จำนวนอุปกรณ์
ไม่จำกัด
แพลนสำหรับครอบครัว
ไม่
ความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ
การรับประกันคืนเงิน
30 วัน
totalpassword.com

Total Password นั้นมีฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มากมายอย่างเช่น Secure Me ซึ่งเป็นเครื่องมือออกจากระบบระยะไกล และการตรวจสอบคลัง เช่นเดียวกันกับตัวเลือกอื่น ๆ ในรายการนี้ มันจะใช้การเข้ารหัส 256-bit AES เพื่อปกป้องบัญชีของคุณพร้อมกับนโยบายการไม่บันทึกข้อมูลอันเข้มงวด อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ของมันจะมีไม่เยอะเท่ากับตัวเลือกที่เราแนะนำเป็นอันดับแรก ๆ อย่าง 1Password และ Dashlane (ยกตัวอย่างเช่น มันจะไม่มีการแชร์รหัสผ่านหรือการเฝ้าระวัง dark web)

ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ Total Password นั้นก็มีอินเทอร์เฟซที่ดูตรงไปตรงมา เราเห็นว่าฟังก์ชันการบันทึกอัตโนมัติและการกรอกข้อมูลอัตโนมัตินั้นใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเครื่องมือสร้างรหัสผ่านแบบสุ่มที่ปรับแต่งได้นั้นก็ใช้งานได้ดีเช่นกัน

7. Total Password — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีความเสถียร ออกจากระบบระยะไกลได้

เครื่องมือ Secure Me นั้นมีประโยชน์มากถ้าคุณทำอุปกรณ์หายหรืออุปกรณ์ของคุณถูกขโมยไป หรือแม้แต่ในกรณีที่คุณบังเอิญลืมอุปกรณ์ไว้ที่อื่น มันจะทำให้คุณสามารถออกจากระบบของ Total Password จากระยะไกลได้บนทุกอุปกรณ์ — เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่คนอื่นจะมาเข้าถึงรหัสของคุณ คุณยังสามารถใช้มันเพื่อออกจากระบบจากเว็บไซต์ที่คุณลงชื่อเข้าใช้ไว้ และลบประวัติการท่องเว็บได้ด้วย ซึ่งก็สะดวกดีมาก

นอกจากนี้ยังมีโบนัสแถมตรงที่ Total Password นั้นมาพร้อมกับ Total Adblock — ซึ่งเป็นส่วนขยายเบราว์เซอร์ที่ใช้งานแยกกัน โดยที่มันจะทำการกรองโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับหลายแพลตฟอร์ม และก็จะช่วยเพิ่มประสบการณ์การท่องเว็บได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้มันจะยังสามารถปกป้องข้อมูลการท่องเว็บจากตัวติดตามบุคคลที่สาม และก็เป็นเกราะป้องกันความเป็นส่วนตัวออนไลน์ของคุณได้อีกชั้นหนึ่งด้วย

7. Total Password — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีความเสถียร ออกจากระบบระยะไกลได้

Total Password นั้นมีขายเป็นแบบสแตนด์อโลนในราคา US$1.99 / เดือน หรือจะมาเป็นส่วนหนึ่งของบันเดิล Total Security ของ TotalAV ในราคา US$49.00 / ปี เราชอบที่ Total Password นั้นมีตัวเลือกให้คุณ แต่ส่วนตัวแล้ว เราชอบแบบบันเดิลมากกว่าเนื่องจากโดยรวมแล้วมันมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่มากกว่า — มีแอนตี้ไวรัส, VPN ที่ปลอดภัย, เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพที่ใช้งานได้ดี และอื่น ๆ ทุกแพลนนั้นจะมีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน

สรุป:

Total Password นั้นมีฟีเจอร์ที่สำคัญมากมาย และก็มีฟีเจอร์เสริมที่ไม่เหมือนใครอย่างเครื่องมือ Total Adblock อีกด้วย อินเทอร์เฟซของมันนั้นเข้าใจได้ง่าย และมันก็จะช่วยรักษาความปลอดภัยให้ข้อมูลออนไลน์ของคุณได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่ามันจะขาดฟีเจอร์เสริมบางรายการที่คู่แข่งรายอื่นเขามีให้ แต่มันก็เป็นโซลูชันการจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานได้ดีมากในราคาที่สมเหตุสมผล และถ้าคุณเลือกใช้บันเดิล Total Security ของ TotalAV คุณก็จะได้รับบริการที่คุ้มค่ากว่าเงินที่คุณจ่ายไปอีกด้วย

อ่านรีวิว Total Password ฉบับเต็ม

8. Sticky Password — มีเวอร์ชัน USB พกพาได้ พร้อม Local Storage ให้ใช้งาน

ความปลอดภัย
สูง
จำนวนอุปกรณ์
ไม่จำกัด
แพลนสำหรับครอบครัว
ไม่
ความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ
การรับประกันคืนเงิน
30 วัน
stickypassword.com

Sticky Password นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านขั้นพื้นฐานที่ใช้งานง่าย มันมีฟีเจอร์ที่มีประโยชน์หลายอย่าง — ไม่ว่าจะเป็นการเฝ้าระวัง dark web, พื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายใน และโปรแกรมเวอร์ชัน USB สำหรับพกพา (มีคู่แข่งน้อยรายมากที่จะมีฟีเจอร์นี้) อย่างไรก็ตาม มันยังมีฟีเจอร์ไม่เยอะเท่ากับตัวเลือกอันดับต้น ๆ อย่าง 1Password กับ Dashlane

8. Sticky Password — มีเวอร์ชัน USB พกพาได้ พร้อม Local Storage ให้ใช้งาน

คุณสามารถเลือกได้ว่าคุณจะเก็บข้อมูลไว้ที่ไหน — บนคลาวด์ที่มีความปลอดภัยของ Sticky Password หรือบนเครือข่ายของคุณเอง เราชอบมากที่ Sticky Password นั้นมีตัวเลือกให้ทั้งสองแบบ เราเลือกที่จะเก็บและซิงค์รหัสผ่าน บัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ไว้ในอุปกรณ์ของเราเอง ซึ่งจะมีความปลอดภัยมากกว่าการเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้บนคลาวด์ที่มีความปลอดภัยของ Sticky Password เพียงอย่างเดียว

น่าเสียดายที่การเฝ้าระวัง dark web ของ Sticky Password นั้นยังไม่ค่อยดีสักเท่าไร มันจะเฝ้าระวังให้เฉพาะบัญชีที่คุณเก็บไว้ในคลังรหัสผ่าน มันจะขาดความยืดหยุ่นในการเฝ้าระวังอีเมลที่กำหนดอย่างที่ 1Password มีให้ ถึงแม้ว่ามันจะมีตัวเลือกการสแกนทั้งแบบอัตโนมัติและแบบเลือกเอง แต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่ครอบคลุมดีพอ

แต่พอหันมาพูดถึงเครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบ USB ของ Sticky Password แล้วมันเป็นสิ่งที่เยี่ยมมาก มันทำให้คุณสามารถโหลดใช้งานเครื่องมือจัดการรหัสผ่านเวอร์ชันพกพาผ่าน USB แฟลชไดร์ฟได้ ซึ่งนี่ก็จะทำให้คุณสามารถเข้าถึงรหัสผ่านและข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ของคุณได้บน Windows PC ทุกเครื่อง

8. Sticky Password — มีเวอร์ชัน USB พกพาได้ พร้อม Local Storage ให้ใช้งาน

Sticky Password นั้นยังใช้งานง่ายมาก ๆ เลยอีกด้วย จากการทดสอบของเรา เราสามารถแชร์รหัสผ่านให้กับผู้ใช้งานอื่นได้อย่างง่ายดาย และฟังก์ชันการบันทึกอัตโนมัติและกรอกข้อมูลอัตโนมัติก็ทำงานได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้เราก็ยังชอบที่ Sticky Password เปิดให้คุณสามารถบันทึกและกรอกข้อมูลล็อกอินอัตโนมัติสำหรับแอปต่าง ๆ ของ Windows อย่างเช่น Skype และ iTunes ได้ นอกจาก RoboForm แล้ว ก็มีเครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับพรีเมียมไม่กี่รายที่มีฟังก์ชันนี้ให้ใช้งาน

Sticky Password เวอร์ชันฟรีนั้นเปิดให้เก็บรหัสผ่านได้ไม่จำกัดบน 1 อุปกรณ์ และก็มี 2FA, พื้นที่จัดเก็บบันทึกอย่างปลอดภัย และโปรแกรมเวอร์ชัน USB แบบพกพา ถ้าอัปเกรดไปใช้ Sticky Password Premium มันจะเพิ่มให้คุณใช้งานได้ไม่จำกัดจำนวนอุปกรณ์ สามารถแชร์รหัสผ่านได้ รวมถึงมีพื้นที่จัดเก็บทั้งแบบคลาวด์และ local storage และก็สามารถซิงค์ได้ในราคา US$1.66 / เดือน

Sticky Password นั้นมีตัวเลือกให้คุณซื้อการสมัครสมาชิกแบบตลอดชีพได้ ซึ่งก็เป็นข้อเสนอที่คุ้มค่ามาก ๆ — แต่คุณสามารถเลือก เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีกว่า ได้ในราคาที่เท่า ๆ กัน หากคุณสนใจ Sticky Password มันก็มีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วันสำหรับทุกแพลน

สรุป:

Sticky Password นั้นมีฟีเจอร์จัดการรหัสผ่านทั้งหมดที่จำเป็น แถมยังมีฟีเจอร์เสริมที่ไม่เหมือนใครอย่างเช่นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในเครื่อง และโปรแกรมเวอร์ชันพกพา Sticky Password Free นั้นจะมีแถม Sticky Password Premium ให้ทดลองใช้ฟรีได้ 30 วันด้วย และการสั่งซื้อทั้งหมดของ Sticky Password นั้นก็จะมีการรับประกันคืนเงินอย่างไม่มีความเสี่ยงเป็นเวลา 30 วัน (นอกจากนี้ทุกการสั่งซื้อระดับพรีเมียมนั้นจะบริจาคเงินให้กับ Save the Manatee Club — ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อช่วยอนุรักษ์พะยูนแมนนาทีอีกด้วย!)

อ่านรีวิว Sticky Password ฉบับเต็ม >

9. Avira Password Manager — ติดตั้งง่าย ใช้งานสะดวก

ความปลอดภัย
สูง
จำนวนอุปกรณ์
ไม่จำกัด
แพลนสำหรับครอบครัว
ไม่
ความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ
การรับประกันคืนเงิน
60 วัน
avira.com

Avira Password Manager นั้นติดตั้งและใช้งานง่ายมาก ๆ ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ใช้งานที่ไม่ใช่สายเทคนิค ถึงแม้ว่า Avira Password Manager จะไม่มีแอปสำหรับเดสก์ท็อป แต่เราก็ชอบหน้าตาที่ดูสะอาดและเข้าใจง่ายของส่วนขยายเบราว์เซอร์ของ Avira มาก ๆ แอป iOS และ Android นั้นก็ดูเข้าใจง่ายและมีฟีเจอร์ที่ใช้งานง่ายมาก ๆ เช่นกัน

Avira นั้นมีชุดฟีเจอร์ที่ดีใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่จัดเก็บรหัสผ่านไม่จำกัด, การซิงค์หลายอุปกรณ์, การล็อกอินอัตโนมัติ, การแจ้งเตือนการรั่วไหลของข้อมูล, การตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน, การล็อกอินด้วยการตรวจพิสูจน์บุคคลบนมือถือ, การยืนยันตัวตนแบบ 2FA ที่ติดมาในตัว และพื้นที่จัดเก็บไฟล์อย่างปลอดภัย 1 GB

9. Avira Password Manager — ติดตั้งง่าย ใช้งานสะดวก

อย่างไรก็ตาม Avira นั้นยังขาดเครื่องมือสำคัญอีกมากมาย อย่างเช่นตัวเลือก 2FA ขั้นสูง (มันมีเฉพาะการยืนยันตัวตนผ่าน SMS), ความสามารถในการแชร์รหัสผ่าน, การนำเข้ารหัสผ่านอย่างปลอดภัย และการเข้าถึงฉุกเฉิน ซึ่งคู่แข่งชั้นนำอย่าง Dashlane และ LastPass ต่างก็มีให้บริการ

Avira นั้นมีฟีเจอร์เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่เปิดให้ใช้งานได้ฟรี แต่ถ้าคุณต้องการจะเข้าถึงการตรวจสอบความปลอดภัยรหัสผ่าน และการแจ้งเตือนการรั่วไหล คุณจะต้องอัปเกรดไปใช้ Avira Password Manager Pro ซึ่งมีราคา US$2.66 / เดือน ถึงแม้ว่าแพลนระดับ Pro จะมีราคาค่อนข้างดู แต่มันก็ยังใช้งานได้ไม่ดีรอบด้านเหมือนอย่างกับ Dashlane, 1Password และ Roboform ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ Avira Password Manager นั้นก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานง่ายและทำงานได้ตามที่โฆษณา

9. Avira Password Manager — ติดตั้งง่าย ใช้งานสะดวก

คุณสามารถรับบริการ Avira Password Manager โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Avira Prime ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือป้องกันภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตที่ดีที่สุดและมีราคาถูกที่สุดตัวหนึ่งในปี 2024 Avira Prime นั้นมีตัวสแกนมัลแวร์ที่ดีเยี่ยม มีการป้องกันเว็บไซต์ มี VPN มีเครื่องมือปรับปรุงประสิทธิภาพระบบ และอีกมากมาย มันสามารถรองรับได้ถึง 5 อุปกรณ์สำหรับทุกระบบปฏิบัติการ และก็มีราคาเพียง US$59.99 / ปี Avira มีการรับประกันคืนเงินทุกแพลนเป็นเวลานานถึง 60 วัน

สรุป

Avira Password Manager นั้นใช้งานง่ายและก็มีฟีเจอร์ดี ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนการรั่วไหลของข้อมูล หรือพื้นที่จัดเก็บ 1 GB ฟีเจอร์มันยังไม่เทียบเท่ากับคู่แข่งชั้นนำอย่าง 1Password และ Dashlane — เราอยากเห็น Avira เพิ่มฟีเจอร์อย่างเช่นการแชร์รหัสผ่าน, การเข้าถึงฉุกเฉิน และตัวเลือก 2FA แบบอื่น ๆ อีก แต่ Avira นั้นก็ติดตั้งและใช้งานง่ายมาก ๆ และมันก็มาพร้อมกับการรับประกันคืนเงินภายใน 60 วันด้วย

อ่านรีวิว Avira Password Manager ฉบับเต็ม >

10. Password Boss — ความคุ้มค่าดี มีฟีเจอร์เสริมมากมาย

ความปลอดภัย
สูง
จำนวนอุปกรณ์
ไม่จำกัด
แพลนสำหรับครอบครัว
ไม่
ความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ
การรับประกันคืนเงิน
30 วัน
passwordboss.com

Password Boss นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน มันมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย และก็มีฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี — ไม่ว่าจะเป็นการแชร์รหัสอย่างปลอดภัย, 2FA พื้นฐาน, การตรวจสอบความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน และพื้นที่จัดเก็บบนคลาวด์

10. Password Boss — ความคุ้มค่าดี มีฟีเจอร์เสริมมากมาย

Password Boss ไม่ได้มีฟีเจอร์ที่โดดเด่นอะไรมากมาย ที่จะทำให้มันแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Dashlane แต่มันใช้งานได้ดีมากสำหรับผู้ใช้งานที่ไม่ถนัดด้านเทคนิคแต่ต้องการโปรแกรมที่มีฟีเจอร์ครบ — มันมีความปลอดภัยสูง ใช้งานง่าย และก็มีฟังก์ชันของเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่จำเป็นครบครัน แถมยังมีฟีเจอร์เสริมอีกบางส่วนด้วย

เราชอบฟังก์ชันการเข้าถึงฉุกเฉินที่ปรับแต่งได้ของ Password Boss มาก ๆ มันจะทำให้ผู้ติดต่อที่เราไว้วางใจสามารถเข้าถึงรหัสผ่านบางรหัสในกรณีฉุกเฉินได้ — นี่เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยเห็นในเครื่องมือจัดการรหัสผ่านรายอื่น ๆ (LastPass นั้นมีตัวเลือกการเข้าถึงอย่างฉุกเฉินที่ดี แต่มันจะเปิดให้ผู้ใช้งานเข้าถึงรหัสได้ทั้งหมดเลย ไม่ใช่แค่บางรหัส)

10. Password Boss — ความคุ้มค่าดี มีฟีเจอร์เสริมมากมาย

นอกจากนี้ Password Boss ยังมีกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลไว้ให้คุณเก็บบัตรเครดิต, บัญชีธนาคาร และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ เอาไว้อย่างปลอดภัยอีกด้วย นี่จะช่วยให้การทำธุรกรรมออนไลน์นั้นง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้มันยังมีฟังก์ชันการแชร์รหัสผ่านที่ใช้งานง่ายและออกแบบมาเป็นอย่างดี และเราก็ชอบที่มันสามารถตั้งค่ารหัสผ่านที่แชร์เป็น “Password not visible (ไม่สามารถดูรหัสผ่านได้)” นี่จะทำให้ผู้รับสามารถใช้รหัสผ่านได้แต่ไม่สามารถเห็นมันได้

แพลนระดับพรีเมียมของ Password Boss นั้นมีราคา US$2.50 / เดือน — ถึงแม้ว่านี่จะเป็นราคาที่ถูกกว่าแบรนด์คู่แข่งส่วนใหญ่ แต่มันก็ขาดฟังก์ชันที่คู่แข่งชั้นนำรายอื่น ๆ มีให้ นอกจากนี้ยังมีแพลนระดับฟรีด้วย แต่มันจะจำกัดให้ใช้งานได้แค่ 1 อุปกรณ์ และคุณก็จะสามารถแชร์รหัสผ่านได้แค่ 5 รหัสเท่านั้น Password Boss นั้นมาพร้อมกับการรับประกันคืนเงินภายใน 30

สรุป:

Password Boss นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์เสริมที่มีประโยชน์ มันไม่มีฟีเจอร์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร แต่มันมีเครื่องมือที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้เพื่อเก็บรักษารหัสผ่านให้ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการแชร์รหัสผ่าน การตรวจสอบรหัสผ่าน การเข้าถึงฉุกเฉิน และอีกมากมาย มันเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้งานที่ไม่ช่ำชองด้านเทคนิค และคุณก็สามารถลองใช้งานมันได้ด้วยการทดลองใช้ฟรี 30 วัน และการรับประกันคืนเงินอีก 30 วัน

อ่านรีวิว Password Boss ฉบับเต็ม >

โบนัส Bitwarden — ตัวเลือกแบบโอเพนซอร์ซที่ดีที่สุด

ความปลอดภัย
สูง
จำนวนอุปกรณ์
ไม่จำกัด
แพลนสำหรับครอบครัว
ใช่ (6 ผู้ใช้งาน)
ความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ
การรับประกันคืนเงิน
30 วัน
bitwarden.com

Bitwarden นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบโอเพนซอร์ซที่มีราคาไม่แพง ซึ่งมีฟีเจอร์ความปลอดภัยดีเยี่ยม มันจะทำการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งานด้วยฟีเจอร์ระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมอย่าง การเข้ารหัส 256-bit AES, นโยบาย zero-knowledge และตัวเลือก 2FA ที่มากมาย รวมถึงฟีเจอร์เสริมขั้นสูงอย่างพื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบ local, การตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน และการเฝ้าระวังการรั่วไหลของข้อมูล

โบนัส Bitwarden — ตัวเลือกแบบโอเพนซอร์ซที่ดีที่สุด

Bitwarden นั้นยังมีแพลนระดับฟรีที่ดีมากอีกด้วย — มันเปิดให้คุณสามารถเก็บรหัสผ่านได้ไม่จำกัดผ่านอุปกรณ์ที่ไม่จำกัดจำนวนเครื่อง และก็สามารถแชร์รหัสผ่านได้ไม่จำกัดกับผู้ใช้งาน 1 คน เครื่องมือจัดการรหัสผ่านชั้นนำส่วนใหญ่จะจำกัดให้คุณใช้งานได้แค่ 1 อุปกรณ์ และก็ไม่เปิดให้คุณแชร์รหัสผ่านในแพลนระดับฟรี

อย่างไรก็ตาม Bitwarden นั้นใช้งานไม่ง่ายเหมือนเครื่องมือจัดการรหัสผ่านชั้นนำตัวอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น การนำเข้ารหัสผ่านจากเครื่องมือจัดการรหัสผ่านตัวอื่น รวมถึงการแชร์รหัสผ่านนั้นค่อนข้างมีความซับซ้อน นอกจากนี้อินเทอร์เฟซของ Bitwarden บนแอปอุปกรณ์เคลื่อนที่และเดสก์ท็อป นั้นก็มีภาษาไทย แต่ว่ามันดูไม่เรียบง่ายและไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานเหมือนคู่แข่งระดับชั้นนำรายอื่น ๆ แบบ 1Password และ Dashlane อย่างไรก็ตาม ฟังก์ชันบันทึกอัตโนมัติและกรอกข้อมูลอัตโนมัติของมันก็ยังใช้งานได้ดีในการทดสอบของเรา และรหัสผ่านของเราก็ซิงค์ระหว่างอุปกรณ์ได้อย่างไม่มีปัญหา

โบนัส Bitwarden — ตัวเลือกแบบโอเพนซอร์ซที่ดีที่สุด

Bitwarden Premium นั้นมาพร้อมกับฟีเจอร์ทั้งหมดที่กล่าวถึงด้านบน สำหรับหนึ่งผู้ใช้งานโดยมีราคา US$1.00 / เดือน ในขณะที่แพลน Families จะมีราคาอยู่ที่ US$3.33 / เดือน และก็รองรับได้ถึง 6 ผู้ใช้งาน แพลนระดับพรีเมียมนั้นมีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน

สรุป:

Bitwarden นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบโอเพนซอร์ซที่มีฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูล local, การตรวจสอบความปลอดภัยรหัสผ่าน, การเฝ้าระวังการรั่วไหลของข้อมูล และการยืนยันตัวตน 2FA ที่ติดมาในตัว น่าเสียดายที่ Bitwarden นั้นไม่ค่อยเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานและใช้งานง่ายไม่เท่ากับแบรนด์อื่น ๆ ในรายการนี้ การนำเข้ารหัสผ่านจากเครื่องมือจัดการรหัสผ่านตัวอื่น และการแชร์รหัสผ่านนั้นซับซ้อนเกินไป และแอปของมันก็ดูไม่เรียบง่ายเมื่อเทียบกับคู่แข่งระดับชั้นนำรายอื่น ๆ Bitwarden นั้นมีแพลนที่ราคาไม่แพงซึ่งมีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน

อ่านรีวิว Bitwarden ฉบับเต็ม >

โบนัส Norton Password Manager — ชุดแอนตี้ไวรัส + เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุด

ความปลอดภัย
สูง
จำนวนอุปกรณ์
ไม่จำกัด
แพลนสำหรับครอบครัว
ไม่
ความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ
การรับประกันคืนเงิน
N/A (free)
identitysafe.norton.com

Norton Password Manager นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน ที่บันเดิลมากับแพลนแอนตี้ไวรัสระดับพรีเมียมของ Norton 360 มันมาพร้อมกับความปลอดภัยระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเข้ารหัส 256-bit AES, การทำงานแบบ zero-knowledge, 2FA, ตัวเลือกการกู้คืนบัญชีด้วยการตรวจพิสูจน์บุคคล และฟีเจอร์เสริมอย่างการตรวจสอบคลังรหัสผ่าน

โบนัส Norton Password Manager — ชุดแอนตี้ไวรัส + เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุด

Norton Password Manager นั้นมีพื้นที่จัดเก็บรหัสผ่านที่ไม่จำกัดสำหรับอุปกรณ์ที่ไม่จำกัดจำนวนเครื่อง นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากจากผลิตภัณฑ์ที่เปิดให้ใช้ฟรี (Avira Password Manager เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านอีกตัวที่ใช้งานได้ดีซึ่งบันเดิลมากับแอนตี้ไวรัสและก็ไม่มีการจำกัดจำนวนรหัสผ่านและจำนวนอุปกรณ์) อย่างไรก็ตาม Norton Password Manager นั้นยังขาดฟีเจอร์ความปลอดภัยหลายอย่างที่แบรนด์อย่าง Dashlane และ 1Password นั้นมีให้ — มันไม่มีการแชร์รหัสผ่าน และก็ไม่มีระบบยืนยันตัวตนที่สร้างมาในตัว ยิ่งไปกว่านั้น ทั้ง Dashlane และ 1Password ต่างก็มาพร้อมกับฟีเจอร์เสริมพิเศษเช่น VPN และ โหมดเดินทาง (Travel Mode) ตามลำดับ

โบนัส Norton Password Manager — ชุดแอนตี้ไวรัส + เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุด

แต่ในขณะเดียวกัน แพลนของ Norton’s 360 นั้นก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่มากกว่าคู่แข่งเกือบจะทั้งหมด มันมีราคาอยู่ที่ US$49.99 / ปี* Norton 360 Deluxe นั้นมีอัตราการตรวจจับมัลแวร์ที่สมบูรณ์แบบ มีส่วนเสริมอย่าง VPN, ระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครอง, การเฝ้าระวัง dark web และแอปที่ใช้งานง่ายสำหรับทุกแพลตฟอร์มหลัก Norton 360 เป็น แอนตี้ไวรัสที่ได้คะแนนสูงที่สุดของเราในปี 2024 ดังนั้นถ้าคุณกำลังมองหาเครื่องมือป้องกันภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มรูปแบบที่มาพร้อมกับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานได้ดีล่ะก็ มันคงจะไม่มีอะไรดีไปกว่า Norton อีกแล้ว แต่ถ้าคุณมีแอนตี้ไวรัสที่คุณคิดว่าดีมากอยู่แล้ว คุณก็สามารถดาวน์โหลด Norton Password Manager แบบที่เป็นส่วนขยายของเบราว์เซอร์หรือแอปสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้เช่นกัน

สรุป:

Norton Password Manager เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านฟรีที่ถือว่าดีใช้ได้ และมันก็มาพร้อมกับชุดเครื่องมือป้องกันภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตที่ดีที่สุด มันใช้งานได้อย่างตรงไปตรงมา มีความปลอดภัยดี แต่ขาดฟีเจอร์อย่างการแชร์รหัสผ่าน อย่างไรก็ตาม แพลนโปรแกรมแอนตี้ไวรัสของ Norton นั้นก็จะมีฟีเจอร์ป้องกันภัยอันตรายทางอินเทอร์เน็ตทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับคุณเอาไว้แล้ว ได้แก่ การป้องกันมัลแวร์แบบเรียลไทม์, การป้องกันทางเว็บ, VPN, ระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครอง และอื่น ๆ อีกมากมาย Norton Password Manager ยังมีให้ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรีอีกด้วย นอกจากนี้การสั่งซื้อทั้งหมดกับ Norton นั้นก็มีการรับประกันคืนเงินอย่างไม่มีความเสี่ยงเป็นเวลาถึง 60 วัน

อ่านรีวิว Norton Password Manager ฉบับเต็ม >

การเปรียบเทียบระหว่าง เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน ที่ดีที่สุดในปี 2024

เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน แพลนระดับฟรี ราคาเริ่มต้น เครื่องมือสร้าง TOTP ติดมาในตัว ตัวเลือก Local Storage พื้นที่จัดเก็บแบบเข้ารหัส ฟีเจอร์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ข้อเสียเล็กน้อย แพลนสำหรับครอบครัว ทดลองใช้ฟรี รับประกันคืนเงิน UI มีภาษาไทย
1.🥇1Password ไม่มีแพลนระดับฟรี US$2.99 / เดือน 1 GB คลังหลายคลัง, Watchtower, Travel Mode (โหมดเดินทาง), บัตรชำระเงินเสมือน ไม่มีตัวเลือกการนำเข้าแบบซิงค์โดยตรง, ไม่มีฝ่ายบริการลูกค้าแบบไลฟ์แชท 5 ผู้ใช้งาน (+ คุณสามารถเพิ่มได้โดยมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อย) 14 วัน
2.🥈Dashlane 1 อุปกรณ์, 25 รหัสผ่าน US$4.99 / เดือน 1 GB VPN, การตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน, การเฝ้าระวัง dark web, การป้องกันการฟิชชิง พื้นที่จัดเก็บแบบเข้ารหัสจะจำกัดขนาดไฟล์แต่ละไฟล์ไว้สูงสุด 50 MB และไม่มีตัวเลือกซิงค์นำเข้าโดยตรง 10 ผู้ใช้งาน 30 วัน 30 วัน
3.🥉RoboForm 1 อุปกรณ์ ไม่จำกัดจำนวนรหัสผ่าน US$0.99 / เดือน เทมเพลตกรอกข้อมูลที่หลากหลาย, การแชร์บันทึกอย่างปลอดภัย พื้นที่จัดเก็บไม่ถูกเข้ารหัส, การเฝ้าระวังการรั่วไหลของข้อมูลค่อนข้างที่จะเป็นแบบพื้นฐาน 5 ผู้ใช้งาน 30 วัน 30 วัน
4. NordPass ทีละ 1 อุปกรณ์ ไม่จำกัดจำนวนรหัสผ่าน US$1.24 / เดือน 3 GB การตรวจสอบคลังรหัสผ่าน ตัวสแกนการรั่วไหลของข้อมูล แอป iOS นั้นดูมินิมอลเกินไป และก็ไม่สามารถปรับแต่งรายการในคลังได้ 6 ผู้ใช้งาน 30 วัน 30 วัน
5. Keeper 1 อุปกรณ์ ไม่จำกัดจำนวนรหัสผ่าน US$2.92 / เดือน 10 GB (แพลนสำหรับครอบครัว) การส่งข้อความแบบเข้ารหัส, พื้นที่จัดเก็บอย่างปลอดภัย, การเฝ้าระวัง dark web การเฝ้าระวัง dark web นั้นจะมีเป็นส่วนเสริมที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม 5 ผู้ใช้งาน 30 วัน ✅ (Mac)
6. LastPass ไม่จำกัดจำนวนทั้งอุปกรณ์เคลื่อนที่และเดสก์ท็อป และก็ไม่จำกัดจำนวนรหัสผ่าน US$1.50 / เดือน 1 GB การตั้งค่า 2FA ขั้นสูง, ตัวเลือกการกู้คืนบัญชีที่หลากหลาย การนำเข้ารหัสผ่านนั้นทำได้ยาก 6 ผู้ใช้งาน 30 วัน
7. Total Password ไม่มีแพลนระดับฟรี US$1.99 / เดือน Secure Me, Total Adblock ไม่มีการแชร์รหัสผ่าน, การนำเข้ารหัสผ่านนั้นใช้ยาก ไม่มีแพลนสำหรับครอบครัว 30 วัน
8. Sticky Password 1 อุปกรณ์ ไม่จำกัดจำนวนรหัสผ่าน US$1.66 / เดือน ซิงค์สำรองข้อมูลคลาวด์/ในเครื่อง, ตัวเลือก USB แบบพกพา, ตัวเลือกการซื้อแบบจ่ายเงินครั้งเดียว ไม่มีพื้นที่จัดเก็บไฟล์แบบเข้ารหัส, UI ดูล้าสมัย ไม่มีแพลนสำหรับครอบครัว 30 วัน 30 วัน
9. Avira Password Manager ไม่จำกัดจำนวนอุปกรณ์ ไม่จำกัดจำนวนรหัสผ่าน US$2.66 / เดือน 1 GB ฟีเจอร์ล็อกอินอย่างไร้รอยต่อ ไม่มีการแชร์รหัสผ่าน, ไม่มีการเข้าถึงฉุกเฉิน, มีตัวเลือกการกู้คืนรหัสผ่านหลักที่จำกัด ไม่มีแพลนสำหรับครอบครัว 60 วัน
10. Password Boss รหัสผ่านไม่จำกัดบน 1 อุปกรณ์ US$2.50 / เดือน การเฝ้าระวัง dark web ตัวเลือก 2FA ที่จำกัด, การให้บริการลูกค้าที่จำกัด ไม่มีแพลนสำหรับครอบครัว 30 วัน 30 วัน
โบนัส Bitwarden ไม่จำกัดจำนวนอุปกรณ์ ไม่จำกัดจำนวนรหัสผ่าน US$1.00 / เดือน 1 GB โอเพนซอร์ซ, 2FA ติดมาในตัว, ราคาถูก ไม่ค่อยเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานมือใหม่ 6 ผู้ใช้งาน 30 วัน
โบนัส Norton Password Manager ไม่จำกัดจำนวนรหัสผ่านและจำนวนเครื่อง US$54.99 / ปี* (บันเดิลมากับแพลนของ Norton 360) ตรวจสอบคลัง ไม่มีการแชร์รหัสผ่าน ไม่มีแพลนสำหรับครอบครัว 7 วัน 60 วัน

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านนั้นทำงานอย่างไร?

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านจะเก็บรหัสผ่านทั้งหมดของคุณไว้ในคลังที่มีการเข้ารหัส ซึ่งจะมีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้ และมันจะช่วยกรอกข้อมูลนั้นให้อัตโนมัติเวลาที่คุณจะทำการล็อกอินเข้าบัญชีทางออนไลน์ เพื่อให้แน่ใจว่าคลังรหัสผ่านของคุณนั้นมีความปลอดภัย 100% เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีคุณภาพระดับชั้นนำจึงเลือกใช้การเข้ารหัสแบบ 256-bit AES – ซึ่งเป็นการรหัสชนิดเดียวกันกับที่ธนาคารและกองกำลังทหารทั่วโลกเลือกใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ข้อมูลของพวกเขา นอกจากนี้มันยังถูกสร้างขึ้นด้วย zero-knowledge architecture หมายความว่าวิธีเดียวที่จะเข้าถึงคลังรหัสผ่านได้ ก็คือต้องใช้รหัสผ่านหลักซึ่งมีแต่คุณเท่านั้นที่รู้ รหัสผ่านหลักนี้จะเป็นรหัสผ่านเดียวที่คุณต้องจำเอาไว้

เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน ยังสามารถช่วยสร้างรหัสผ่านใหม่ที่จะไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ด้วย รหัสผ่านเหล่านี้สามารถประกอบไปด้วยตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวเลข และเครื่องหมายต่าง ๆ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่จะสร้างรหัสผ่านที่มีความยาวมากกว่า 16 อักขระ แต่บางแบรนด์เช่น RoboForm สามารถสร้างรหัสผ่านที่ยาวถึง 500+ อักขระได้ด้วย

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดนั้นจะต้องมีฟีเจอร์ความปลอดภัยที่หลากหลายซึ่งประกอบไปด้วย:

  • ระบบยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) — ใช้ระบบการยืนยันตัวตนในรูปแบบที่สอง (เพิ่มจากการใช้รหัสผ่าน) เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้งานคือคุณจริง ๆ
  • ระบบตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน — จะช่วยวิเคราะห์รหัสผ่านทั้งหมดในคลังของคุณ และจะแจ้งเตือนถึงรหัสผ่านที่อ่อนแอ มีการใช้ซ้ำ หรือรหัสผ่านที่รั่วไหลไปแล้ว
  • การตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูล – ตรวจสอบ dark web เพื่อดูว่ารหัสผ่านของคุณนั้นเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ถูกรั่วไหลออกไปหรือไม่
  • การแชร์รหัสผ่าน – จะทำให้คุณสามารถแชร์ล็อกอินของคุณให้กับผู้ใช้งานคนอื่นได้อย่างปลอดภัย พร้อมทั้งตั้งค่าการให้อนุญาตได้ด้วย
  • การเข้าถึงอย่างฉุกเฉิน – จะทำให้คุณสามารถตั้งค่ารายชื่อติดต่อฉุกเฉินของผู้ที่จะสามารถเข้าถึงคลังรหัสผ่านของคุณได้ ในกรณีที่คุณไม่สามารถเข้าถึงได้เอง

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบางตัวนั้นจะมีฟีเจอร์เสริมที่มากยิ่งขึ้นไปอีกอย่างเช่นคลังลับ, บัตรส่วนตัว, เครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) หรือพื้นที่จัดเก็บบุ๊กมาร์ก 1Password นั้นจะมี Travel Mode (โหมดเดินทาง) ซึ่งจะช่วยปิดบังรหัสผ่านบางรหัสเวลาที่คุณเดินทางข้ามชายแดน รวมถึงมีบัตรชำระเงินเสมือนซึ่งจะช่วยปิดบังข้อมูลเลขบัตรที่แท้จริงของคุณตอนที่ทำการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้ Dashlane นั้นเป็นแบรนด์เดียวในรายการนี้ที่มี VPN ให้ใช้งานได้ด้วย มันจะทำการเข้ารหัสทราฟฟิคของคุณและช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวให้กิจกรรมออนไลน์ทั้งหมดของคุณ ในขณะที่ RoboForm นั้นเป็นหนึ่งในเครื่องมือจัดการรหัสผ่านน้อยรายที่เปิดให้คุณจัดเก็บและซิงค์บุ๊กมาร์กได้

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดที่อยู่ในรายการนี้ต่างก็มีระบบซิงค์ที่ไม่จำกัดจำนวนอุปกรณ์ หมายความว่าคุณจะสามารถใช้งานมันได้กับทุกเครื่อง ทุกระบบปฏิบัติการ และทุกเบราว์เซอร์ และหลายแบรนด์ก็มีแพลนสำหรับครอบครัว ซึ่งมีแดชบอร์ดบริหารจัดการสำหรับครอบครัวที่ใช้งานง่ายด้วย เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่จะรองรับได้สูงถึง 6 ผู้ใช้งาน แต่ 1Password นั้นจะเปิดให้คุณใช้งานได้ไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้งานโดยมีค่าธรรมเนียมต่อผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

วิธีการเลือกเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดในปี 2024

  • มองหาฟีเจอร์ความปลอดภัยของคลังรหัสผ่านขั้นสูง เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดนั้นจะต้องใช้การเข้ารหัส 256-bit AES หรือเทียบเท่า จะต้องมีโปรโตคอล zero-knowledge, การยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) หรือการยืนยันตัวหลายชั้น (MFA) และก็ต้องมีฟีเจอร์ความปลอดภัยเสริมอื่น ๆ ที่จะช่วยให้คุณจัดการกับรหัสผ่านได้อย่างปลอดภัย 100%
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามันมีฟีเจอร์ที่จำเป็นครบถ้วน แบรนด์ทั้งหมดที่เราแนะนำนั้นจะสามารถสร้าง บันทึก และกรอกข้อมูลการล็อกอิน รวมถึงข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนแบบอื่น ๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยที่ 1Password กับ Dashlane จะทำงานด้านการจัดการรหัสผ่านขั้นพื้นฐานเหล่านี้ได้ดีเยี่ยม ส่วน RoboForm ก็จะมีตัวกรอกข้อมูลอัตโนมัติที่ล้ำสมัยที่สุด
  • มองหาฟีเจอร์เสริม เครื่องมือจัดการรหัสผ่านนั้นจะมีฟีเจอร์ที่แตกต่างกันออกไป แต่ปัญหาก็คือบางฟีเจอร์นั้นเป็นส่วนเสริมที่ดูเหมือนจะดี แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้มีประโยชน์อะไรสักเท่าไรเลย แต่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้นั้นต่างก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ซึ่งสามารถใช้งานได้ตามที่โฆษณา — ไม่ว่าจะเป็น การแชร์รหัสผ่าน, การตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน หรือการเฝ้าระวัง dark web ตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของเราหลายตัวนั้นต่างก็มีฟีเจอร์ที่ไม่เหมือนใคร — ยกตัวอย่างเช่น 1Password จะมี Travel Mode (โหมดเดินทาง) เพื่อช่วยปิดบังข้อมูลละเอียดอ่อนระหว่างที่คุณเดินทางข้ามชายแดน และ Dashlane ก็จะมีเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) ให้ใช้งาน
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านนั้นมีแอปที่ใช้งานง่าย เครื่องมือจัดการรหัสผ่านนั้นควรจะใช้งานสะดวก ดังนั้นถ้าแอปเดสก์ท็อปและอุปกรณ์เคลื่อนที่ใช้งานยาก มันก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทุกตัวในรายการนี้นั้นต่างก็สามารถเข้าใจได้ง่าย เข้าถึงได้ง่าย และใช้งานง่าย ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ หรือไม่ถนัดด้านเทคนิคก็ตาม
  • ตรวจดูว่ามันรองรับได้หลายแพลตฟอร์มหรือไม่ เพื่อที่คุณจะสามารถใช้งานเครื่องมือจัดการรหัสผ่านได้กับอุปกรณ์ทุกเครื่องของคุณ มันจะต้องรองรับระบบปฏิบัติการยอดนิยมทั้งหมด รวมถึงเบราว์เซอร์ที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้ด้วย เครื่องมือจัดการรหัสผ่านในรายการนี้ต่างก็มีตัวเลือกแอปทั้งสำหรับใช้งานผ่านเว็บ แอปเดสก์ท็อป แอปอุปกรณ์เคลื่อนที่ และส่วนขยายเบราว์เซอร์สำหรับ Chrome, Firefox และเบราว์เซอร์อื่น ๆ
  • เลือกแบรนด์ที่มีตัวเลือกการให้บริการลูกค้าที่หลากหลาย รหัสผ่านระดับชั้นนำจะต้องมีตัวเลือกการให้บริการลูกค้าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอีเมล โทรศัพท์ และ/หรือไลฟ์แชท ตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของเรานั้นต่างก็มีฐานข้อมูล บทความสนับสนุน และคำถามที่พบบ่อยซึ่งเจาะลึกรายละเอียดได้ดีเยี่ยมให้อ่าน
  • ประเมินตัวเลือกราคา เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีนั้นจะต้องพร้อมเปิดให้บริการจัดการรหัสผ่านอย่างปลอดภัยในราคาที่เหมาะสม แบรนด์ที่เราแนะนำตรงนี้ — ไม่ว่าจะเป็น 1Password, Dashlane และ RoboForm — ทุกตัวนั้นต่างก็มีราคาที่สมเหตุสมผล และก็จะมีให้ทดลองใช้งานได้หรือไม่ก็มีการรับประกันคืนเงินอย่างไม่มีความเสี่ยง (หรืออาจจะมีทั้งสองอย่าง)

วิธีการเลือกเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับระบบปฏิบัติการของคุณในปี 2024

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้นั้นใช้งานได้อย่างปลอดภัยและมันก็มาพร้อมกับฟีเจอร์เสริมมากมาย แต่ไม่ใช่ว่าทุกฟีเจอร์จะใช้งานได้กับทุกระบบปฏิบัติการ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ใช้งานได้ดีกับ Windows นั้นอาจจะใช้งานได้จำกัดบน macOS หรืออาจจะใช้งานได้คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ก็เป็นได้

เราพูดได้เลยว่า 1Password นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดในภาพรวมสำหรับทุกระบบปฏิบัติการ นอกจากที่มันจะมีฟีเจอร์ความปลอดภัยอันหลากหลายรวมถึงเครื่องมือการจัดการรหัสผ่านซึ่งใช้งานได้ดีเยี่ยมแล้ว 1Password ก็ยังมีแอปที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานสำหรับทั้ง Windows, Android, macOS, iOS, Linux และ Chrome OS รวมถึงมีส่วนขยายเบราว์เซอร์สำหรับ Chrome, Firefox, Edge, Safari, Opera และ Brave ด้วย เมื่อทราบเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าหากคุณอยากจะเลือกดูเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละระบบปฏิบัติการและอุปกรณ์ คุณก็สามารถดูด้านล่างได้เลย

  • เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ Windows พวกเราแนะนำ 1Password เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ Windows 8, 10 และ 11
  • เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ Mac แอปเครื่องมือจัดการรหัสผ่านสำหรับ Mac นั้นมักจะมีฟีเจอร์เทียบเท่ากับที่ Windows มีให้ ดังนั้นมันก็จะไม่มีข้อแตกต่างอะไรมากมายเมื่อพูดเรื่องอันดับระหว่างทั้งสองระบบ ตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับ macOS ที่เราเลือกก็คือ 1Password และ Dashlane
  • เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ Android แอปเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน Android บางตัวนั้นจะมีฟีเจอร์น้อยกว่าและใช้งานยากกว่าแอปของ Windows และ Mac อย่างไรก็ตาม ยังมีแอป Android ที่มีความปลอดภัย มีฟีเจอร์เยอะ และใช้งานง่ายมาก ๆ อยู่ พวกเราแนะนำ 1Password และ Dashlane เป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ Android ของพวกเรา
  • เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับ iOS ถึงแม้ว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน iOS นั้นจะมีฟีเจอร์ที่เหมือน ๆ กับแอป Android แต่มันก็ยังมีข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดอยู่ ยกตัวอย่างเช่น แอปบางแอปนั้นจะใช้งานได้อย่างมีความคล่องตัวมากกว่าสำหรับ iOS และมันก็จะใช้งานกับระบบยืนยันตัวตนด้วยการตรวจพิสูจน์บุคคลของ iOS ได้ดีกว่า เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน #1 ที่เราเลือกสำหรับ iOS ก็คือ 1Password

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านสามารถถูกแฮ็กได้หรือไม่?

มีแต่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ออกแบบมาไม่ดีเท่านั้นที่จะถูกแฮ็กได้ — ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเพราะมันไม่ได้เข้ารหัสหรือไม่ได้ใช้มาตรการความปลอดภัยที่ดีเทียบเท่ากับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุด

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับชั้นนำนั้นจะเลือกใช้มาตรการด้านความปลอดภัยขั้นสูงเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลของผู้ใช้งานนั้นได้รับการป้องกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเข้ารหัส 256-bit AES หรือโครงสร้างแบบ zero-knowledge ก็ตาม ถึงแม้ว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีชื่อเสียงจะถูกแฮ็กไปในวันนี้ แต่แฮ็กเกอร์ก็จะไม่สามารถอ่านข้อมูลรหัสผ่านที่ขโมยไปได้อยู่ดีเพราะมันจะถูกทำการเข้ารหัสขั้นสูงเอาไว้

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับชั้นนำบางตัวก็เคยถูกคนพยายามแฮ็กมาแล้วเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น LastPass ประสบปัญหาข้อมูลรั่วไหลครั้งใหญ่เมื่อตอนท้ายปี 2022 ซึ่งทำให้ข้อมูลของผู้ใช้งานไม่ว่าจะเป็นชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน และข้อมูลสำหรับกรอกแบบฟอร์มถูกเปิดเผยออกไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทนี้ถูกแฮ็ก — เมื่อปี 2015 และ 2021 ก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม LastPass ระบุว่าพวกเขาไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่าแฮ็กเกอร์สามารถเข้าถึงบัญชีหรือคลังของผู้ใช้งานได้ นักวิจัยด้านความปลอดภัยเคยตรวจพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในส่วนขยายเบราว์เซอร์ของ LastPass เมื่อปี 2019 แต่ช่องโหว่นั้นก็ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว

เป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรจะมีมาตรการป้องกันเพื่อให้แน่ใจว่าแฮ็กเกอร์จะไม่สามารถขโมยรหัสผ่านของคุณและเข้าถึงคลังของคุณได้ ถึงแม้ว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านจะมีความปลอดภัยขั้นสูงอยู่แล้วก็ตาม มาตรการป้องกันเหล่านี้ประกอบไปด้วย:

  • การสร้างรหัสผ่านหลักที่มีความซับซ้อน
  • เก็บรหัสผ่านหลักเอาไว้อย่างปลอดภัย ไม่นำไปแชร์กับผู้อื่น
  • ตั้งค่าการยืนยันตัวตนหลายชั้น (MFA)
  • ใช้การป้องกันการฟิชชิง
  • ติดตั้งแอนตี้ไวรัสเพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีมัลแวร์มาสอดแนมกิจกรรมของคุณ

ข้อมูลการล็อกอินและข้อมูลอื่น ๆ ในคลังของคุณนั้นจะปลอดภัยจากมือของแฮ็กเกอร์ ตราบใดก็ตามที่คุณใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีชื่อเสียงละมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยขั้นสูง และคุณเก็บรักษารหัสผ่านหลักเอาไว้อย่างเหมาะสม รวมถึงมีการใช้มาตรการป้องกันอย่างการยืนยันตัวตนหลายชั้นด้วย

รหัสผ่าน vs. พาสคีย์ — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านควรจะใช้คู่กับอะไรดี?

รหัสผ่านนั้นเป็นส่วนสำคัญบนโลกออนไลน์ของพวกเรา แต่มันก็มีข้อจำกัดอยู่ แม้แต่รหัสผ่านที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังมีเปราะบางต่อการโจมตีฟิชชิงและการรั่วไหลของข้อมูลอยู่ดี แถมการลืมรหัสผ่านนั้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย — ถึงแม้ว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านจะช่วยได้ แต่คุณก็ยังต้องจำรหัสผ่านหลักที่มีความซับซ้อนเพื่อใช้ในการเข้าถึงรหัสผ่านอื่น ๆ อยู่ดี ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นเรื่องยาก

พาสคีย์นั้นเป็นตัวเลือกที่มีความปลอดภัยและความสะดวกซึ่งสามารถนำมาใช้แทนรหัสผ่านได้ เวลาที่คุณสมัครใช้งานบริการที่ใช้พาสคีย์ คุณก็จะไม่ต้องเลือกชื่อผู้ใช้งานหรือรหัสผ่านใด ๆ เลย ทางเว็บไซต์หรือแอปนั้น ๆ จะสร้างพาสคีย์ที่ไม่ซ้ำใครซึ่งมีการเชื่อมต่อระหว่างกันขึ้นมา — หนึ่งตัวแบบสาธารณะ และอีกหนึ่งตัวแบบส่วนตัว

พาสคีย์นั้นมีความปลอดภัยมากกว่ารหัสผ่าน เพราะข้อมูลการล็อกอินของคุณจะไม่ถูกเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ ถ้าใช้พาสคีย์ จะมีแต่คีย์สาธารณะเท่านั้นที่ถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ที่คุณลงทะเบียน ถึงแม้ว่าแฮ็กเกอร์จะสามารถเจาะช่องโหว่ของเซิร์ฟเวอร์เว็บไซต์เข้าไปได้ พวกเขาก็จะสามารถมองเห็นแค่คีย์สาธารณะเท่านั้นซึ่งก็ไม่มีประโยชน์ คีย์ส่วนตัวของคุณนั้นจะถูกเก็บเอาไว้กับ authenticator ที่คุณเลือก ซึ่งอาจจะเป็นอุปกรณ์หรือเป็นซอฟต์แวร์ตัวอื่นก็ได้

การล็อกอินด้วยพาสคีย์นั้นง่ายมาก ๆ — ที่คุณต้องทำก็แค่เปิดแอปหรือเข้าไปยังเว็บไซต์ที่คุณต้องการจะล็อกอิน จากนั้นก็เลือกพาสคีย์ที่คุณต้องการใช้ และก็ทำการยืนยันการล็อกอินผ่าน authenticator ที่คุณเลือกด้วยการใช้การตรวจพิสูจน์บุคคล (เช่นลายนิ้วมือหรือใบหน้า), PIN หรือ pattern (รูปแบบ) จากนั้นคุณก็จะถูกล็อกอินโดย “อัตโนมัติ” โดยที่ไม่ต้องกรอกชื่อผู้ใช้งานหรือรหัสผ่านใด ๆ เลย

สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ก็คือการเข้ารหัสแบบไม่สมมาตร — เว็บไซต์ที่คุณเข้าไปนั้นจะใช้คีย์สาธารณะของคุณเพื่อทำการเข้ารหัส “การท้าทาย” ที่มันส่งไปยังอุปกรณ์ของคุณ การท้าทายนี้ (เป็นเหมือนแบบปริศนาที่ต้องแก้) ก็จะถูก “ลงนาม” บนอุปกรณ์ของคุณด้วยการใช้คีย์ส่วนตัวของคุณ และมันก็จะถูกส่งกลับไปที่เว็บไซต์ เว็บไซต์นั้นก็จะใช้คีย์สาธารณะในการถอดรหัสลายเซ็นของคุณและทำการล็อกอินให้คุณ

การใช้พาสคีย์นั้นมีประโยชน์มากมาย อย่างแรกเลย มันทั้งเร็วทั้งสะดวก เพราะว่าคุณไม่ต้องจำรหัสผ่านใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้มันยังมีความปลอดภัยสูงมาก เนื่องจากมันจะมีการเข้ารหัสและก็ไม่สามารถถูกคาดเดาได้ และมันก็ยังป้องกันการโจมตีฟิชชิงด้วย เพราะว่าพาสคีย์นั้นจะสามารถถูกใช้งานกับเว็บไซต์หรือแอปที่สร้างมันขึ้นมาได้เท่านั้น

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่นั้นเริ่มเตรียมตัวหันมาใช้พาสคีย์กันแล้ว โดยที่ 1Password, Dashlane, NordPass และ RoboForm เริ่มใช้กันไปแล้ว

ในช่วงเวลาปัจจุบัน ยังมีเว็บไซต์กับแอปไม่มากที่รองรับการใช้พาสคีย์ แต่การที่ Google กับ Apple ต่างก็ให้การสนับสนุนวิธีการยืนยันตัวรูปแบบใหม่นี้ การเปลี่ยนแปลงในอนาคตก็คงเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในระหว่างนี้ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้ต่างก็มีการเข้ารหัส 256-bit AES, โครงสร้างแบบ zero-knowledge และ 2FA เพื่อช่วยปกป้องรหัสผ่านของคุณให้ปลอดภัย

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบสแตนด์อโลน vs. เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบนเว็บเบราว์เซอร์

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ติดมาในตัวของเว็บเบราว์เซอร์นั้นก็มีประโยชน์อยู่ แต่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบสแตนด์อโลนนั้นจะใช้งานได้ดีกว่ามาก จริงอยู่ที่ว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านของเว็บเบราว์เซอร์นั้นมีประโยชน์ เนื่องจากคุณจะไม่ต้องติดตั้งส่วนขยายของบุคคลที่สามใด ๆ เพิ่มเติม แถมมันยังสามารถบันทึกรหัสผ่านและข้อมูลบัตรที่ใช้ชำระเงินของคุณได้อัตโนมัติ ความสามารถในการกรอกข้อมูลนั้นก็มักใช้งานได้ดีมากด้วย

แต่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบนเว็บเบราว์เซอร์นั้นมีฟังก์ชันไม่เทียบเท่ากับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบสแตนด์อโลนอย่าง 1Password และ Dashlane ซึ่งทั้งคู่นี้ต่างก็มีฟีเจอร์เสริมมากมายนอกเหนือจากความสามารถในการบันทึกและกรอกข้อมูลอัตโนมัติแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น เครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับชั้นนำส่วนใหญ่จะมีฟีเจอร์เสริมอย่าง:

  • การเฝ้าระวัง dark web
  • การแจ้งเตือนรหัสผ่านที่เปราะบาง
  • บัตรแบบส่วนตัวเพื่อใช้ปิดบังรายละเอียดบัตรจริงที่คุณใช้ชำระเงิน
  • ใช้งานเข้ากันได้กับหลายแพลตฟอร์ม
  • ตัวเลือกการยืนยันตัวตนหลายชั้นที่หลากหลาย
  • การแชร์รหัสผ่านอย่างปลอดภัย
  • และอีกมากมาย …

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบนเว็บเบราว์เซอร์นั้นค่อนข้างจะใช้งานได้จำกัดเมื่อนำมาเทียบกันแล้ว และมันก็มักจะไม่มีฟีเจอร์เยอะแบบนี้ด้วย แถมเว็บเบราว์เซอร์นั้นยังขาดฟีเจอร์ความปลอดภัยอย่างการยืนยันตัวตนหลายชั้นหลายชั้น (ซึ่งเราเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นในยุคปัจจุบัน) ซึ่งเป็นสิ่งที่จะช่วยให้การเก็บรหัสผ่านของคุณนั้นมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบนเว็บเบราว์เซอร์นั้นไม่สามารถแข่งกับแบบสแตนด์อโลนได้เลย

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านสำหรับบุคคล vs. เครื่องมือจัดการรหัสผ่านสำหรับธุรกิจ — มันแตกต่างกันอย่างไร?

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งแบบบุคคลและธุรกิจนั้นต่างก็จะสามารถช่วยคุณสร้าง เก็บ และกรอกรหัสผ่าน รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างเบอร์มือถือ, ที่อยู่ และรายละเอียดบัตรเครดิตได้

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีนั้นจะต้องมีฟีเจอร์ความปลอดภัยระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม อย่างเช่นการเข้ารหัส 256-bit AES, โครงสร้างแบบ zero-knowledge และระบบยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) รวมถึงฟีเจอร์เครื่องมือจัดการรหัสผ่านขั้นพื้นฐานอย่างเช่นการสร้างรหัสผ่าน การบันทึกอัตโนมัติ การกรอกข้อมูลอัตโนมัติ และการซิงค์หลายอุปกรณ์ แต่ตัวเลือกระหว่างแบบบุคคลกับธุรกิจก็ยังคงมีข้อแตกต่างกันอยู่บางประการ

โซลูชันสำหรับธุรกิจนั้นจะต้องช่วยให้กลุ่มพนักงานสามารถจัดการรหัสผ่านของพวกเขาได้ แรกสุดเลย เครื่องมือจัดการรหัสผ่านสำหรับธุรกิจนั้นจะต้องมีการออนบอร์ดที่ง่าย ทำให้บริษัทสามารถนำระบบเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันใช้งานร่วมกับมันได้อย่างง่ายดาย และก็ต้องมีแดชบอร์ดสำหรับทั้งแอดมินและพนักงานที่เข้าใจง่าย ทำให้ทุกคนในบริษัทสามารถเข้าใจและใช้งานฟีเจอร์ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย โซลูชันธุรกิจนั้นจะต้องมีการออฟบอร์ดที่ง่ายด้วย

ถัดมา เครื่องมือจัดการรหัสผ่านสำหรับธุรกิจนั้นจะต้องมีการแชร์รหัสผ่านอย่างปลอดภัยโดยต้องมีการให้อนุญาตการเข้าถึงหลายระดับ แบรนด์ชั้นนำอย่าง 1Password นั้นจะเปิดให้คุณสามารถสร้างคลังและเลือกได้ว่าต้องการให้สมาชิกในทีมคนไหนที่สามารถเข้าถึงคลังไหนได้ — นี่เป็นสิ่งที่สะดวกมากสำหรับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ซึ่งมีทีมงานหลายทีม มีแผนกหลายแผนก Dashlane นั้นเปิดให้แอดมินสามารถแชร์รหัสผ่านแต่ละรหัสกับสมาชิกในทีมแต่ละคนได้ (และก็สามารถถอนสิทธิ์การเข้าถึงรหัสได้ทุกเมื่อ)

สุดท้าย เครื่องมือจัดการรหัสผ่านสำหรับธุรกิจ จะต้องมีฟีเจอร์ความปลอดภัยและนโยบายขั้นสูง อย่างเช่นการบังคับให้ตั้ง 2FA สำหรับพนักงาน, การเฝ้าตรวจสอบบัญชีและกิจกรรมของพนักงาน และการตั้งข้อจำกัดในการล็อกอิน (ยกตัวอย่างเช่น LastPass เปิดให้คุณสามารถสร้างรั้วเสมือนรอบ ๆ สำนักงานเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้พนักงานล็อกอินเข้าบัญชีสำหรับใช้ทำงานหลังจากที่ออกจากสำนักงานไปแล้วได้)

คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจทุกขนาดได้ที่นี่

แบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ ที่ไม่ติดอันดับ

  • True Key ถึงแม้ว่าจะมีบริษัทด้านเทคโนโลยีรายยักษ์อย่าง McAfee เป็นเจ้าของ แต่ True Key ก็ยังคงขาดฟีเจอร์หลายอย่างซึ่งแบรนด์อื่น ๆ ในรายการนี้ต่างก็มีให้ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่านหรือการแชร์รหัสผ่านก็ตาม นอกจากที่มันจะเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่มีฟีเจอร์น้อยแล้ว True Key ก็ยังมีบัคเยอะมากด้วยจากการทดสอบของเรา
  • Zoho Vault Zoho Vault นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านสำหรับธุรกิจที่ใช้งานพอได้ มันมีความปลอดภัยดีและก็มีฟีเจอร์การจัดการรหัสผ่านที่ดีสำหรับใช้ในทีม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมันถูกสร้างขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์สำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ มันจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสำหรับบุคคลหรือครอบครัว
  • LogMeOnce LogMeOnce นั้นมีตัวเลือกฟีเจอร์ที่หลากหลาย แต่อินเทอร์เฟซของมันดูรกและก็เข้าใจไม่ง่ายเท่ากับตัวเลือกอื่น ๆ นอกจากนี้ โฆษณาที่ถูกแสดงในเวอร์ชันฟรีก็ยังน่ารำคาญมาก ๆ เลยอีกด้วย
  • Enpass Enpass นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบออฟไลน์อย่างเต็มรูปแบบซึ่งจะเปิดให้คุณสามารถสร้างคลังรหัสผ่านได้อย่างไม่จำกัด อย่างไรก็ตาม มันไม่มี 2FA และก็ไม่ได้ทำการเข้ารหัสที่แชร์เป็นค่าเริ่มต้นด้วย — ซึ่งก็ถือว่าน่ารำคาญพอตัว
  • KeePass KeePass นั้นเป็นเครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบโอเพนซอร์ซที่เปิดให้ใช้งานได้ฟรี แต่มันขาดฟีเจอร์สำคัญต่าง ๆ อย่างเช่นการบันทึกอัตโนมัติ การตรวจสอบคลัง และการแชร์รหัสผ่าน
  • mSecure mSecure นั้นเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานและก็มีเครื่องมือสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่งพร้อมความสามารถในการกรอกข้อมูลอัตโนมัติที่ใช้ได้ดี อย่างไรก็ตาม มันยังขาดฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูงอย่าง 2FA และ การแชร์รหัสผ่านอย่างปลอดภัยซึ่งเครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับชั้นนำรายอื่น ๆ มีให้

คำถามพบบ่อย

การฝากรหัสผ่านทั้งหมดไว้กับเครื่องมือจัดการรหัสผ่านนั้นปลอดภัยหรือไม่?

ปลอดภัย — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้นั้นต่างก็ใช้การเข้ารหัส 256-bit AESหรือ XChaCha20 ซึ่งทำให้รหัสผ่านรวมถึงข้อมูลทั้งหมดในคลังรหัสผ่านของคุณนั้นไม่สามารถถูกเปิดอ่านได้ถ้าไม่มีคีย์เข้ารหัส (รหัสผ่านหลักของคุณ) นอกจากนี้มันยังมีนโยบายความปลอดภัยแบบ zero-knowledge อีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจว่าจะไม่มีใคร (รวมถึงผู้พัฒนาเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน) ที่จะเข้าไปถอดรหัสเพื่อดูรหัสผ่านของคุณได้

หลายแบรนด์ที่เราแนะนำอย่างเช่น 1Password นั้นยังมีระบบยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) อีกด้วย ซึ่งก็เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง โดยการยืนยันตัวตนของคุณ (ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะต้องกรอกโค้ดภายในเวลาที่กำหนด) 2FA นั้นจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับทั้งตัวคลังรหัสผ่านของคุณและรหัสผ่านที่คุณใช้ในการล็อกอิน

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านของฉันสามารถถูกแฮ็กได้หรือไม่?

มีโอกาสน้อยมาก เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทั้งหมดในรายการนี้ต่างก็ใช้การเข้ารหัส 256-bit AES หรือเทียบเท่าซึ่งมีความแข็งแกร่งมาก ดังนั้นแฮ็กเกอร์คงจะต้องมีซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังเหนือธรรมชาติถึงจะสามารถขโมยข้อมูลของคุณได้ ถึงจะขโมยไปได้แล้วจริง ๆ แต่พวกเขาก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของคุณได้อยู่ดี เขาจะมองเห็นแค่ข้อความแบบสุ่มที่ไม่มีความหมาย

แต่ถึงงั้นก็ตาม LastPass พึ่งจะผ่านเหตุการณ์การรั่วไหลของข้อมูลครั้งใหญ่มาเมื่อปลายปี 2022 แฮ็กเกอร์จะต้องได้รหัสผ่านหลักของผู้ใช้งานเพื่อที่จะเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ นี่เป็นเครื่องเตือนใจว่าคุณควรจะตรวจสอบให้แน่ใจว่ารหัสผ่านหลักของคุณนั้นมีความแข็งแกร่งและไม่ซ้ำใคร และคุณก็ควรจะเปลี่ยนมันอยู่เป็นประจำด้วย

ถ้าหากว่ารหัสผ่านหลักของคุณนั้นมีความอ่อนแอ และสามารถถูกคาดเดาได้ง่าย และยิ่งคุณไม่ได้ตั้งค่าระบบยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) ไว้แล้วด้วยนั้น มันก็เป็นการผิดจุดประสงค์ของการใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ก็ต้องบอกว่าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านนั้นสามารถถูกบุกเข้ามาได้ (แต่ไม่ใช่ถูก “แฮ็ก”) แต่ถ้าคุณใช้เครื่องมือสร้างรหัสผ่านแบบสุ่มที่มีความปลอดภัย, คุณได้ทำการเปลี่ยนรหัสผ่านหลักทุก 6 เดือน และก็มีการใช้ 2FA อยู่แล้ว มันก็มีโอกาสน้อยมาก ๆ ที่เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้น

ฉันจะติดตั้งเครื่องมือจัดการรหัสผ่านได้อย่างไร?

การติดตั้งเครื่องมือจัดการรหัสผ่านนั้นสามารถทำได้ในไม่กี่ขั้นตอนง่าย ๆ ตามวิธีดังต่อไปนี้:

  1. เลือกเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน — เลือกเครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ตรงกับความต้องการของคุณ แต่ละตัวนั้นต่างก็มีข้อดีข้อเสียของตัวเอง ดังนั้นคุณควรจะตรวจสอบฟีเจอร์และราคาจากการเปรียบเทียบด้านบนให้แน่ใจก่อน
  2. ติดตั้งแอปพลิเคชันและส่วนขยายเว็บ — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่นั้นจะมีแอปพลิเคชันและส่วนขยายเว็บสำหรับหลายแพลตฟอร์ม ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปตัวที่เหมาะสมสำหรับอุปกรณ์ของคุณ
  3. สร้างรหัสผ่านหลัก — นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด รหัสผ่านหลักของคุณนั้นเป็นเหมือนกุญแจที่ใช้เข้าถึงคลังของคุณ คุณควรจะตั้งให้มันมีความแข็งแกร่งและไม่ซ้ำใคร และต้องเป็นอะไรที่คุณจำได้ด้วย คุณสามารถใช้ เครื่องมือสร้างรหัสผ่านแบบสุ่มออนไลน์ฟรี ของเราได้ถ้าคุณคิดรหัสผ่านหลักไม่ออก
  4. เพิ่มรหัสผ่าน — เริ่มเพิ่มบัญชีเข้าไปในเครื่องมือจัดการรหัสผ่านได้เลย เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบางตัวนั้นจะมีฟีเจอร์การนำเข้ารหัสผ่านโดยตรงจากเว็บเบราว์เซอร์ของคุณ
  5. ใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านของคุณ — หลังจากที่ทำการติดตั้งเสร็จแล้ว คุณก็สามารถใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านได้เลย มันสามารถบันทึกและกรอกรหัสผ่านของคุณบนเว็บไซต์ได้อัตโนมัติ รวมถึงสามารถสร้างรหัสผ่านที่มีความแข็งแกร่งและไม่ซ้ำใครได้เวลาที่คุณสร้างบัญชีใหม่

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทุกตัวเหมือนกันหมดหรือไม่?

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านชั้นนำ ส่วนใหญ่นั้นมีฟีเจอร์ที่คล้ายคลึงกัน — มันจะบันทึกและเก็บรหัสผ่านของคุณเอาไว้อย่างปลอดภัย และก็สามารถสร้างรหัสผ่านใหม่ รวมถึงสามารถซิงค์ให้ใช้งานบนหลายอุปกรณ์ได้ด้วย แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ทำให้แต่ละตัวนั้นมีความแตกต่างจากกัน ความง่ายในการใช้งาน, วิธีการเข้ารหัส, ตัวเลือกการยืนยันตัวตนหลายชั้น, ส่วนขยายเบราว์เซอร์, แอปเดสก์ท็อป/อุปกรณ์เคลื่อนที่ และความคุ้มค่าโดยรวมต่างก็เป็นสิ่งที่ทำให้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านแต่ละตัวมีความแตกต่างจากกันเป็นอย่างมาก

ยกตัวอย่างเช่น 1Password นั้นมีฟีเจอร์ความปลอดภัยมากมาย, มีแอปที่ใช้งานง่ายสำหรับทุกแพลตฟอร์มและทุกอุปกรณ์, มีแพลนราคาถูกสำหรับทั้งลูกค้าแบบบุคคลและแบบครอบครัว ในขณะที่ Dashlane นั้นจะมีความปลอดภัยดีเลิศ, ใช้งานง่ายสำหรับหลายอุปกรณ์ และก็มี VPN ให้ด้วย

มีตัวเลือกที่ไม่ต้องใช้รหัสผ่านเลยบ้างหรือไม่?

ตัวเลือกที่ไม่ต้องใช้รหัสผ่านเลยนั้นจะเป็นวิธีการยืนยันตัวตนที่คุณจะไม่ต้องกรอกรหัสผ่านเหมือนอย่างทั่วไป แทนที่จะอาศัยสิ่งที่คุณรู้ (อย่างเช่นรหัสผ่าน) การยืนยันตัวตนโดยไม่ใช้รหัสผ่านนั้นมักจะอาศัยในสิ่งที่คุณมีหรือสิ่งที่คุณเป็นแทน นี่จะทำให้กระบวนการยืนยันตัวนั้นไร้รอยต่อและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นในหลายกรณี วิธีการที่ไม่ใช่รหัสผ่านที่พบเห็นได้ทั่วไปนั้นจะประกอบไปด้วยการตรวจพิสูจน์บุคคล (ลายนิ้วมือหรือการสแกนใบหน้า), SMS หรือโค้ดทางอีเมล และการแจ้งเตือนทางอุปกรณ์เคลื่อนที่

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่ (อย่างเช่น 1Password) นั้นจะมีการนำ พาสคีย์ มาใช้รองรับด้วย พาสคีย์นั้นเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมันจะช่วยกำจัดความเสี่ยงด้านการรั่วไหลของรหัสผ่านหรือรหัสผ่านที่อ่อนแอ และก็จะช่วยพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีอีกด้วย (หมดปัญหาเรื่องการลืมรหัสผ่าน!)

ต้องทำอย่างไรถ้าฉันลืมรหัสผ่านหลัก?

การลืมรหัสผ่านหลักนั้นสามารถสร้างปัญหาให้คุณได้ คุณควรจะจำเอาไว้ว่า รหัสผ่านหลักนั้นเป็นกุญแจสำหรับใช้เข้าคลังดิจิทัลของคุณ และด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ทำให้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่ไม่มีวิธีกู้คืนหรือรีเซ็ตรหัสผ่านหลัก อย่างไรก็ตาม เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดบางตัวจะมีตัวเลือกการกู้คืนบัญชีอย่างเช่น:

  • คำใบ้รหัสผ่าน — เวลาที่คุณสร้างรหัสผ่านหลัก มันจะขอให้คุณกรอกคำใบ้เพื่อเตือนความจำของคุณโดยที่ไม่บอกรหัสอย่างตรง ๆ
  • รายชื่อติดต่อฉุกเฉิน — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบางตัวอย่าง NordPass นั้นจะเปิดให้คุณสามารถใส่รายชื่อติดต่อฉุกเฉินผู้ที่จะสามารถเข้าถึงบัญชีของคุณได้ในกรณีฉุกเฉิน วิธีนี้สามารถนำไปใช้เป็นรูปแบบของการกู้บัญชีได้ แต่คุณควรจะเลือกคนที่คุณเชื่อใจเป็นที่สุด
  • ระบบยืนยันตัวตนสองชั้น — บางบริการนั้นจะมีระบบยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) นี่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง และมันก็จะช่วยเป็นวิธีกู้บัญชีให้คุณได้ด้วยถ้าคุณถูกล็อกไม่ให้เข้าบัญชี
  • คีย์กู้รหัส — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบางตัวอย่างเช่น 1Password นั้นจะมีคีย์กู้รหัสที่ไม่ซ้ำใครให้ด้วยเวลาที่คุณสมัครใช้งาน เก็บสิ่งนี้เอาไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัย

สรุปกันสั้น ๆ คือพยายามอย่าลืมรหัสผ่านหลัก ถ้าคุณลืมจริง ๆ ตัวเลือกการกู้คืนเหล่านี้ก็จะยังพอช่วยเหลือคุณได้บ้าง — แต่โปรดทราบไว้ว่า ไม่ใช่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านทุกตัวที่จะมีตัวเลือกกู้คืนบัญชี ดังนั้นคุณควรจะตรวจสอบดูให้ดีก่อนที่จะสมัครใช้งาน

ฉันต้องใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านด้วยหรอ?

คุณน่าจะต้องใช้มัน ถ้าคุณมีบัญชีออนไลน์หลายบัญชี คุณก็คงไม่สามารถจำรหัสผ่านได้ทั้งหมด เว้นแต่ว่าคุณจะตั้งรหัสผ่านที่ง่ายมาก ๆ หรือคุณใช้รหัสเดียวกันสำหรับทุกบัญชี ทั้งสองรูปแบบนี้จะทำให้บัญชีของคุณนั้นเปราะบางต่อการบุกรุกเข้ามา ดังนั้นคุณจึงควรจะหันมาเลือกใช้อะไรบางอย่างที่สามารถเก็บและเรียกดูข้อมูลล็อกอินบัญชีออนไลน์ทั้งหมดของคุณได้

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านนั้นมีประโยชน์มากมาย:

  • การสร้างรหัสผ่านแบบสุ่ม — หากคุณเป็นเหมือนเราและมีรหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกันกว่า 100 รหัส รหัสผ่านเหล่านั้นก็ควรที่จะแตกต่างกันจริง ๆ โดยที่ไม่มีคีย์เวิร์ดหรือรูปแบบที่คล้ายกันเลย เครื่องมือจัดการรหัสผ่านนั้นจะมีเครื่องมือสร้างรหัสผ่านแบบสุ่มติดมาในตัว ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้ภายในไม่กี่วินาที — เครื่องมือสร้างรหัสผ่านแบบสุ่มของ RoboForm นั้นสามารถสร้างรหัสผ่านได้ยาวถึง 512 อักขระ!
  • สะดวก — เราเสียเวลาชีวิตไปหลายชั่วโมงกับการลืม พยายามนึก และการที่ต้องมานั่งรีเซ็ตรหัสผ่าน พอเปลี่ยนมาใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านแล้วมันช่วยประหยัดเวลาให้เราได้มาก
  • ปลอดภัย — เครื่องมือจัดการรหัสผ่านสามารถป้องกันตัวดักจับคีย์บอร์ดและตัวดักจับหน้าจอไม่ให้มาดูคุณพิมพ์รหัสผ่านบนหน้าจอได้ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านส่วนใหญ่นั้นจะสามารถแชร์ข้อมูลระหว่างผู้ใช้งานอย่างปลอดภัยได้ด้วย บางตัวนั้นสามารถเฝ้าระวัง dark web เพื่อดูการรั่วไหลของข้อมูลได้ด้วยอย่างเช่น Watchtower ที่เป็นฟีเจอร์ของ 1Password

บริษัทเจ้าของเครื่องมือจัดการรหัสผ่านจะสามารถดูรหัสผ่านของฉันได้ไหม?

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านชั้นนำทุกตัวต่างก็มีโปรโตคอล zero-knowledge นี่หมายความว่าข้อมูลของคุณจะถูกเข้ารหัสก่อนที่มันจะถูกนำไปเก็บในเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท — ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่บริษัทเครื่องมือจัดการรหัสผ่านจะเปิดดูรหัสผ่านของคุณได้

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านมากมายมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบ local ซึ่งก็เป็นเรื่องดีถ้าคุณยังไม่เชื่อใจบริษัทเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน ง่าย ๆ เลยก็คือรหัสผ่านนี้จะไม่ถูกส่งออกไปจากเครื่องของคุณ — ยกตัวอย่างเช่น 1Password จะมีให้บริการพื้นที่จัดเก็บรหัสผ่านแบบ local

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านมีการติดตามหรือนำข้อมูลของฉันไปขายบ้างหรือไม่?

ไม่ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านจะไม่สามารถติดตามหรือนำข้อมูลของคุณไปขายได้ถ้าพวกเขามีโครงสร้างเป็นแบบ zero-knowledge — ซึ่งเครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับชั้นนำอย่าง 1Password เลือกใช้ โครงสร้างแบบ zero-knowledge นั้นหมายความว่ารหัสผ่านทั้งหมดของคุณจะถูกเข้ารหัสก่อนที่มันจะไปถึงเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท เครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับชั้นนำนั้นต่างก็เลือกใช้การเข้ารหัส 256-bit AES — ซึ่งเป็นการเข้ารหัสแบบเดียวกันกับที่ธนาคารและกองทหารทั่วโลกเลือกใช้ — และก็ยังไม่เคยมีใครสามารถเจาะการเข้ารหัสแบบนี้ได้มาก่อน ทางเดียวที่จะถอดรหัสข้อมูลของผู้ใช้งานได้ก็คือการใช้คีย์เข้ารหัส — ในกรณีนี้ก็คือรหัสผ่านหลักซึ่งจะมีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่เข้าถึงมันได้

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านมีข้อเสียอย่างไรบ้าง?

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านนั้นจะเป็นแบบที่พลาดครั้งเดียวแล้วเสียหายทั้งหมด หมายความว่าถ้ามีคนได้รหัสผ่านหลักของคุณไป พวกเขาก็จะสามารถเข้าถึงรหัสผ่านและข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนของคุณในคลังรหัสผ่านได้ทั้งหมด (เช่นข้อมูลบัตรเครดิต)

เพราะแบบนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรจะสร้างรหัสผ่านที่มีความแข็งแกร่ง แต่นอกจากการสร้างรหัสผ่านที่มีความซับซ้อนและไม่ซ้ำใครแล้ว คุณก็ควรจะเปิดใช้งานระบบยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) สำหรับการล็อกอินเข้าคลังรหัสผ่านของคุณด้วย โดยที่ 2FA นั้นจะใช้การยืนยันตัวรูปแบบที่สองเพื่อยืนยันว่าผู้ใช้งานเป็นคุณจริง ๆ — ยกตัวอย่างเช่น โค้ดแบบใช้ครั้งเดียวที่จะถูกส่งไปทางเบอร์มือถือของคุณ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบางตัวอย่าง 1Password นั้นยังรองรับการล็อกอินด้วยการตรวจพิสูจน์บุคคลด้วย ซึ่งก็หมายความว่าคุณจะสามารถล็อกอินเข้าคลังรหัสผ่านของคุณโดยใช้ลายนิ้วมือหรือการสแกนใบหน้าได้

พื้นที่จัดเก็บรหัสผ่าน คลาวด์ vs local (ในเครื่อง): แบบไหนปลอดภัยกว่ากัน?

พื้นที่จัดเก็บแบบ local นั้นจะปลอดภัยกว่าแต่มันก็มีข้อเสียเช่นกัน เวลาที่คุณซิงค์รหัสผ่าน รหัสผ่านเหล่านั้นก็จะไม่สามารถถูกส่งข้อมูลออกจากเครื่องได้ — นี่ทำให้กลายเป็นเรื่องยาก (หรือเรื่องที่ไม่สะดวก) เวลาที่คุณต้องการซิงค์รหัสผ่านไปยังอุปกรณ์เครื่องอื่น ๆ ของคุณ แบรนด์ชั้นนำอย่าง 1Password นั้นมีตัวเลือกให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าต้องการเก็บรหัสผ่านไว้แบบ local หรือเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของพวกเขา

ในขณะที่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบคลาวด์อย่าง Dashlane นั้นจะใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มีความปลอดภัยมาก ๆ เพื่อเก็บข้อมูลผู้ใช้งานที่เข้ารหัสแล้ว (ข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสด้วยวิธีการเข้ารหัสระดับทหาร ซึ่งยังไม่เคยมีใครเจาะได้มาก่อน) และเนื่องจากข้อมูลผู้ใช้งานนั้นอยู่ในคลาวด์ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านเหล่านี้จึงสามารถซิงค์ข้อมูลรหัสผ่านของคุณทั้งหมดได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นคุณจึงสามารถเข้าถึงคลังรหัสผ่านของคุณได้จากอุปกรณ์เคลื่อนที่และเดสก์ท็อปทุกเครื่อง

ทำไมฉันถึงไม่ควรเก็บรหัสผ่านไว้ในเบราว์เซอร์?

การเก็บรหัสผ่านไว้ในเบราว์เซอร์นั้นสะดวกก็จริง แต่มันอาจเป็นอันตรายได้ พูดกันง่าย ๆ ก็คือถ้ามีคนสามารถเข้าถึงอุปกรณ์และเว็บเบราว์เซอร์ของคุณได้ พวกเขาก็จะสามารถเข้าถึงรหัสผ่านของคุณได้อย่างง่ายดาย อาชญากรไซเบอร์นั้นสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ของคุณจากระยะไกลได้ด้วยการใช้มัลแวร์ รวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์แบบอื่น ๆ นอกจากนี้ก็ยังมีความอันตรายจากการที่คนอื่นจะขโมยอุปกรณ์ของคุณไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณใช้งานเครื่องมือจัดการรหัสผ่านอย่าง 1Password แล้วนั้น รหัสผ่านทั้งหมดของคุณก็จะถูกเข้ารหัสด้วยการเข้ารหัส 256-bit AES (ซึ่งเป็นการเข้ารหัสแบบเดียวกันกับที่ธนาคารและกองทหารเลือกใช้) และก็จะไม่มีใครสามารถเข้าถึงรหัสผ่านของคุณได้ถ้าไม่มีรหัสผ่านหลัก เครื่องมือจัดการรหัสผ่านระดับชั้นนำนั้นต่างก็มีนโยบายการจัดการแบบ zero-knowledge ซึ่งก็หมายความว่าจะไม่มีใครทั้งนั้น — ไม่แม้แต่พนักงานเทคนิค — ที่จะสามารถรู้รหัสผ่านหลักของคุณได้

นอกจากนั้น เวลาที่คุณใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบสแตนด์อโลน คุณก็จะสามารถซิงค์ข้อมูลรหัสผ่านของคุณกับทุกเบราว์เซอร์และระบบปฏิบัติการได้ ดังนั้นรหัสผ่านทั้งหมดของคุณก็พร้อมใช้งาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบสแตนด์อโลนนั้นก็จะมีฟีเจอร์เสริมมากมายที่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านแบบใช้งานบนเบราว์เซอร์นั้นไม่มี ยกตัวอย่างเช่นการแชร์รหัสผ่าน, การตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน, การเฝ้าระวังการรั่วไหลของข้อมูล และการเข้าถึงฉุกเฉิน

วิธีการสร้างรหัสผ่านหลักที่ดีเป็นอย่างไร?

มีแนวทางมากมายสำหรับการสร้างรหัสผ่านหลักที่แข็งแกร่ง อย่างเช่นการใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ผสมกับตัวพิมพ์เล็ก, การใช้ตัวเลขอย่างน้อยหนึ่งตัว สัญลักษณ์อย่างน้อยหนึ่งสัญลักษณ์ และควรมีอย่างน้อย 8-10 อักขระ แต่เราแนะนำให้คุณสร้างเป็น passphrase ที่จำง่ายจะดีกว่า Passphrase คือรหัสผ่านที่ง่ายต่อการจดจำ แต่ยากที่จะคาดเดาได้ — ซึ่งมันจะเป็นคำแบบสุ่มหลายคำรวมถึงอักขระต่าง ๆ แต่แทนที่คุณจะเลือกคำสุ่มที่คุณเองก็อาจจะลืมได้นั้น มันจะดีกว่าถ้าคุณตั้งรหัสผ่านหลักที่มีความหมายอะไรบางอย่างกับคุณเช่น “mycatDoraloveshernewcattree” หรือ “myhockeyteamwon1stprizeinApril19”

คุณสามารถใช้ passphrase สำหรับบัญชีออนไลน์บางบัญชีของคุณได้ด้วย มีเครื่องมือสร้างรหัสผ่านแบบสุ่มไม่กี่ตัวที่สามารถสร้างรหัสผ่านแบบ passphrase ได้ แต่ 1Password นั้นสามารถทำได้

สำคัญ: เวลาที่คุณใช้งานเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน รหัสผ่านหลักของคุณนั้นคือรหัสผ่านเดียวที่คุณต้องจำให้ได้ มันจะถูกใช้เพื่อถอดรหัสให้รหัสผ่านทั้งหมดในคลังของคุณ และถ้าคุณทำมันสูญหาย คุณก็อาจจะไม่สามารถกู้คืนคลังของคุณได้อีกเลย

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านใช้กับแอปได้หรือไม่?

ได้ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านบางรายนั้นถูกออกแบบมาให้ใช้กับแอปพลิเคชันได้ ทำให้มันสามารถจัดเก็บและกรอกข้อมูลล็อกอินอัตโนมัติสำหรับแอปต่าง ๆ ในเครื่องของคุณได้ ฟีเจอร์นี้นั้นเปิดให้ใช้งานได้ในเครื่องมือจัดการรหัสผ่านอย่าง RoboForm และ Sticky Password ซึ่งมันจะช่วยให้คุณสามารถล็อกอินทั้งบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันได้ง่ายยิ่งขึ้นไม่ว่าจะใช้งานกับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ก็ตาม ตัวอย่างบริการที่ใช้งานได้ Zoom, Spotify และ iTunes

ฉันสามารถเข้าเครื่องมือจัดการรหัสผ่านของ Google Chrome ได้ทางไหน?

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ติดมาในตัวของ Google Chrome นั้นสามารถเปิดใช้งานได้ด้วยการคลิกที่รูปโปรไฟล์ของคุณตรงมุมขวาบนของเบราว์เซอร์ จากนั้นเลือก “รหัสผ่าน” จากเมนูดรอปดาวน์ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ามันจะรองรับการจัดเก็บรหัสผ่านขั้นพื้นฐานและสามารถกรอกรหัสผ่านอัตโนมัติได้ รวมถึงมี 2FA ผ่านบัญชี Google แล้วก็ตาม แต่มันยังขาดฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูง และตัวเลือก 2FA ที่หลากหลายอย่างที่เครื่องมือจัดการรหัสผ่านของบุคคลที่สามมีให้ใช้งานได้ สำหรับโซลูชันการจัดการรหัสผ่านที่มีความปลอดภัยและมีฟีเจอร์เยอะกว่านี้ คุณสามารถเลือกใช้ 1Password หรือ Dashlane — ทั้งสองตัวนี้ต่างก็มีมาตรการด้านความปลอดภัยที่ดีกว่าอย่างเช่นการยืนยันตัวตนสองชั้นขั้นสูง, การแชร์รหัสผ่านอย่างปลอดภัย และการตรวจสอบความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน

เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ดีที่สุดในปี 2024 — คะแนนสุดท้าย:

ตัวเลือกอันดับ
คะแนนของเรา
ข้อเสนอที่ดีที่สุด
*เงื่อนไขการใช้งานปีแรก
รายการที่ถูกนำเสนอบนเว็บไซต์นี้นั้นจะมาจากบริษัทที่มีค่าตอบแทนให้กับเว็บไซต์นี้ และบางบริษัทก็จะมีบริษัทแม่ของเราเป็นเจ้าของเดียวกัน นี่จะส่งผลต่อ: อันดับและการนำเสนอ 
เรียนรู้เพิ่มเติม
เกี่ยวกับผู้เขียน
คาทาริน่า กลาโมสลิยา
คาทาริน่า กลาโมสลิยา
บรรณาธิการหัวหน้าทีมความปลอดภัยทางไซเบอร์

เกี่ยวกับผู้เขียน

คาทาริน่า กลาโมสลิยาเป็นบรรณาธิการหัวหน้าทีมความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ SafetyDetectives เธอมีประสบการณ์ยาวนานเกินทศวรรษในด้านการค้นคว้า ทดสอบ และรีวิวผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และแนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับความปลอดภัยออนไลน์และการปกป้องข้อมูล ก่อนที่จะมาเข้าร่วมกับ SafetyDetectives เธอได้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมให้กับเว็บไซต์เทคโนโลยีมากมาย ซึ่งมีทั้งที่เกี่ยวกับแอนตี้ไวรัสและ VPN ด้วย นอกจากนี้เธอยังทำงานเป็นนักเขียนและบรรณาธิการฟรีแลนซ์ให้กับสำนักพิมพ์สายเทคโนโลยี การแพทย์ และธุรกิจอีกด้วย ในช่วงเวลาที่เธอไม่ได้สวมบทบาทเป็น "Safety Detective" เธอก็จะสวมบทเป็นนักเดินทางแทน (และก็เขียนเกี่ยวกับการเดินทางนั้น บนบล็อกเดินทางเล็ก ๆ ของเธอ) นอกจากนี้เธอก็เป็นคนรักแมวและชอบดูละครสืบสวนสอบสวน

แสดงความคิดเห็น